ในบทความนี้ผมจะสรุปใครเอาเนยแข็งของฉันไป (Who moved my cheese?) มาเล่าให้ฟังนะครับ
ต้องบอกว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ผมอ่านตั้งแต่ในสมัยวัยเด็กนะครับ เพราะตอนนั้นเมื่อดูชื่อเรื่องเหมือนนิทานดี ในตอนนั้นที่อ่านก็ยังไม่ค่อยเข้าใจประเด็นที่หนังสือจะสื่อเท่าไหร่ แต่เมื่ออ่านอีกทีตอนที่โตขึ้นสมัยทำงานก็รู้สึกว่าเป็นหนังสือที่ทรงคุณค่ามากๆ
หนังสือ ใครเอาเนยแข็งของฉันไป (Who Moved My Cheese?) จำนวน 92 หน้า เป็นสุดยอดหนังสือขายดีอันดับหนึ่งของโลกในหมวดหนังสือธุรกิจพัฒนาตัวเอง ที่ขายได้มากกว่า 35 ล้านเล่ม แปลไปแล้วถึง 42 ภาษา เขียนโดย ดร.สเปนเซอร์ จอห์นสัน โดยถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2020 แม้จะผ่านไป 20 ปีแล้วแต่เนื้อหายังใช้ได้ดีอยู่ในปัจจุบัน
หนังสือเล่มนี้ช่วยเตือนสติผู้คนให้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลง และกล้าเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างชาญฉลาด ในยุคแห่งการ Disrupt แบบรวดเร็วเช่นนี้
สารบัญ
#ทำไมถึงควรอ่านหนังสือเล่มนี้?
- สามารถอ่านได้ง่าย มีเพียง 96 หน้า จบได้ภายในภายในไม่กี่นาที และถ่ายทอดออกมาเป็นนิทาน มีภาพประกอบระหว่างดำเนินเรื่อง เพลิดเพลิน
- เป็นหนังสือที่สามารถนำเนื้อหาไปใช้ในการดำรงชีวิตได้ตลอดชีวิต
- เมื่อคุณอ่านจบผมมีความเชื่อว่า หนังสือเล่มนี้จะทำให้เปลี่ยนชีวิตคุณไปโดยสิ้นเชิง เพราะมันจะทำให้คุณตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลง และลุกขึ้นมาเตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงทำให้ชีวิตดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
#ความหมายและตัวละครของสิ่งต่างๆภายในเรื่อง
- เนยแข็ง เปรียบเสมือน สิ่งที่ผู้คนแสวงหามันในชีวิตเพราะคิดว่ามันจะนำความสุขมาให้ เพื่อนทุกคนจะรู้ว่าเนยแข็งของตัวเองนั้นคืออะไร อาจจะหมายถึงเรื่องงาน ความสัมพันธ์ การเงิน บ้านหลังใหญ่ สุขภาพ อิสรภาพ เมื่อได้มาแล้วเราก็มักจะยึดติดกับมัน และถ้าต้องสูญเสียไปเราก็จะทุกข์ทรมาน
- เขาวงกต เปรียบเสมือน สถานที่ผู้คนเข้าไปเพื่อแสวงหาสิ่งที่ต้องการ
- หนูชื่อ “สนิฟฟ์” คือ ผู้ที่ช่างสังเกต และรู้ทันการเปลี่ยนแปลง
- หนูชื่อ “สเคอร์รี่” คือ ผู้ที่ไม่ยึดติด กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
- คนแคระชื่อ “เฮม” คือ ผู้ที่ปฏิเสธ และต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
- คนแคระชื่อ “ฮอว์” คือ ผู้ที่เรียนรู้ และปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลง
#เนื้อเรื่อง
มีหนู 2 ตัวชื่อ “สนิฟฟ์” กับ “สเคอร์รี่” และคนแคระอีกสองคนชื่อ “เฮม”กับ “ฮอว์” ทั้งสี่ชีวิต ใช้เวลาในแต่ละวันวิ่งวนอยู่ในเขาวงกตที่สลับซับซ้อนแห่งหนึ่งเพื่อค้นหาเนยแข็งอันเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต
สำหรับหนู 2 ตัว ใช้วิธีการลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ โดยใช้จมูกนำทางจนค้นหาเนยแข็งจนเจอ ส่วนคนแคระทั้ง 2 คน ใช้ความคิดและการเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีตเหมือนพวกหนู แต่จะใช้สมองที่สุดพิเศษเพื่อหาเนยแข็ง ในที่สุดทั้งสี่ชีวิต ก็ได้พบกับคลังเนยแข็งขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีเนยเพียงพอให้กินไปได้ตลอดทั้งชีวิต โดยไม่จำเป็นต้องวิ่งหาอีกต่อไป
เมื่อเวลาผ่านไปถึงเช้าวันหนึ่ง ทั้งสี่ชีวิตพบว่าเนยแข็งนั้นกำลังจะหมดโดยที่พวกเขาไม่ได้เตรียมพร้อมกับสิ่งที่จะพบ เจ้าหนู “สนิฟฟ์” เห็นดังนั้นก็ไม่ได้ตกใจเพราะสังเกตุมาตลอดว่าปริมาณเนยแข็งลดลงทุกวัน ส่วนเจ้า “สเคอร์รี่” ก็ไม่รอช้าออกวิ่งนำเพื่อค้นหาเนยแข็งแหล่งใหม่ทันที
“เฮม” นั้นได้ทำตะโกนและบ่นว่า “ใครเอาเนยแข็งของฉันไป!” “ไม่ยุติธรรมเลย!” เพราะเนยแข็งนั้นมีความสำคัญต่อพวกเขา ทั้งสองจึงใช้เวลาคร่ำครวญอยู่นานว่าจะทำอย่างไรต่อไป
เมื่อ “ฮอว์” เริ่มได้สติและยอมรับความจริงได้ เขาจึงเริ่มคิดที่จะเปลี่ยนแปลงที่จะไปหาแหล่งเนยแข็งแหล่งใหม่ จึงได้ชวน “เฮม” แต่กลับถูกปฏิเสธ อีกทั้งไม่ยอมรับเนยแข็งที่ “ฮอว์” อุตส่าห์นำมาฝาก เขาจึงจำใจต้องปล่อย “เฮม” ไว้เช่นนั้น
ในช่วงที่ “ฮอว์” ออกมาเผชิญโชคครั้งใหม่ในเขาวงกต ความคิดของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย เขาเขียนสิ่งที่ค้นพบไว้บนผนังเป็นระยะ ๆ
แม้ “ฮอว์” จะสุขสบายอยู่ในคลังเนยแข็งใหม่ แต่ทุก ๆ วันเขาจะคอยตรวจตราดูสภาพเนยแข็ง และยังคงเข้าไปในเขาวงกตเพื่อสำรวจที่ใหม่ ๆ เขาทำทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝัน แต่เขายังคงคิดและหวังว่าซักวันหนึ่ง “เฮม” เพื่อนรักของเขาจะตามมา
#ข้อคิดที่ได้จากหนังสือ
1.การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เสมอ
การเปลี่ยนแปลงในชีวิตคนเราเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เราต้องไม่ยึดติดกับสิ่งเดิมๆ ที่เคยมี เพราะทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง
2.ถ้าไม่เปลี่ยนแปลง ก็อยู่ไม่รอด
โลกในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงเร็วมาก บางธุรกิจหากปรับตัวช้าก็สามารถล้มหายตายจากไปได้อย่างรวดเร็ว
3.เฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลง
เราต้องคอยสังเกตความเปลี่ยนแปลง เมื่อวันหนึ่งที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเราจะได้รับมือได้ เพราะมีการเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว ถ้าเทียบกับเรื่องธุรกิจ ก็คือการดูแนวโน้มของธุรกิจอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะได้พัฒนาธุรกิจของตัวเองได้ทัน
4.เตรียมพร้อมอยู่เสมอ
เรียนรู้และเตรียมพร้อมความรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
5.ปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงให้รวดเร็ว
เมื่อมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ก็อย่ามัวแต่ช็อค เราต้องปรับตัวให้กับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปให้ได้ อย่างเช่นธุรกิจเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เราก็อย่ามัวแต่ไปกังวล แต่ควรจะปรับตัวให้พร้อมรับมันได้
6.อย่าให้ความกลัวมาหยุดยั้ง การเริ่มต้นสิ่งใหม่
การเริ่มต้นอะไรใหม่ๆนั้น ทุกคนมีความกลัวอยู่ในจิตใจเสมอ แต่อย่าให้มันมาหยุดในการเริ่มต้น เพราะถ้าคุณไม่เริ่ม คนอื่นก็จะเริ่มแทน
7.ลองผิดลองถูก ดีกว่าทนรอแบบไร้จุดหมาย
การลองผิดลองถูกนั้นดีกว่ามานั่งรอไปเรื่อยๆ อย่างน้อยมันยังทำให้เห็นโอกาสลู่ทางในการพัฒนาไปได้ดียิ่งขึ้น
8.เมื่อตั้งเป้าหมายได้ วิธีการจะตามมาเอง
เมื่อสมองของคุณมีเป้าหมาย มันจะสั่งการให้คุณหาวิธีการทุกวิถีเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้นๆ
9.มีความสุขกับความเปลี่ยนแปลง
เมื่อเลือกเปลี่ยนแปลงแล้ว ก็จงมีความสุขกับทางที่เลือก อย่ามัวเฝ้าคิดถึงอดีต
จบไปแล้วนะครับสำหรับสรุปหนังสือ Who moved my cheese? ใครเอาเนยแข็งของฉันไป คาดว่าเพื่อนๆคงได้รับแนวคิดไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่มากก็น้อยนะครับ
สามารถสั่งหนังสือได้ที่ลิงค์นี้
แนะนำบทความที่น่าสนใจ