ในบทความนี้ผมจะสรุป พ่อรวยสอนลูกเล่มที่ 2 เงินสี่ด้าน งานสี่ประเภท เส้นทางสู่อิสรภาพทางการเงินที่ทุกคนใฝ่ฝัน (Rich Dad’s Cash Flow Quadrant) มาเล่าให้ฟังกันนะครับ
ตัวผมนั้นเคยอ่านหนังสือชุดซีรีย์พ่อรวยสอนลูกตอนสมัยมัธยมปลายนะครับเพราะตอนนั้นถูกชวนให้ไปทำธุรกิจเครือข่ายเลยได้ทำให้มีโอกาสอ่านหนังสือชุด ซีรีย์พ่อรวยสอนลูกนี้ และยังได้ติดตามผลงานตั้งแต่เล่ม 1 2 3 4 และอีกหลายเล่ม ถึงแม้ปัจจุบันตัวผมเองจะไม่ได้ทำธุรกิจเครือข่ายแล้วแต่ก็ยังได้องค์ความรู้ชุดความรู้พ่อรวยติดตัวมาจนถึงทุกวันนี้และเป็นประโยชน์ในการทำงาน ทำธุรกิจมากๆครับ
พ่อรวยสอนลูก# 2 เงิน 4 ด้านนี้ มีจำนวนหน้าอยู่ที่ 376 หน้า Robert T. Kiyosaki (โรเบิร์ต ที. คิโยซากิ) เป็นหนังสือที่ผมอยากจะแนะนำให้อ่านเป็นเล่มที่ 2 ต่อจากเล่มที่ 1 พ่อรวยสอนลูก สามารถอ่านเนื้อหาเล่มที่ 1 จากลิงค์นี้ครับผมได้ทำสรุปไว้แล้ว ในเล่มที่ 1 นั้นจะเป็นการปูพื้นฐานของแนวคิดระหว่างคนรวยและคนจน ทรัพย์สินนั้นต่างจากหนี้สินอย่างไร งบการเงินเบื้องต้น ส่วนพ่อรวยสอนลูก# 2 เงิน 4 ด้านนี้ จะกล่าวถึงความแตกต่างในเรื่องการทำงาน การหารายได้ และการบริหารเงิน ของคน 4 ลักษณะอาชีพ ได้แก่ ลูกจ้าง (Employee), คนทำธุรกิจส่วนตัว (Self – Employed), เจ้าของกิจการ (Bussiness Owner), นักลงทุน (Investor) หรือเราอาจเรียกสั้นๆว่า ESBI โดยผมจะทำการอธิบาย เปรียบเทียบ ทั้งข้อดี ข้อเสีย พร้อมด้วยคำแนะนำ ชี้แนะ เพื่อก้าวข้ามไปสู่อิสรภาพทางการเงินกันนะครับ
สำหรับหลายๆคนที่เคยเติบโตขึ้นมาจากการทำงานประจำ การทำสายอาชีพเพียงด้านเดียวอาจจะเข้าใจว่า การหารายได้นั้น คือต้องทำงาน และถ้าอยากได้รายได้มากกว่าเดิมก็ต้องทำงานหนักขึ้นไปอีก ซึ่งทำให้เกิดภาพว่า ถ้าอยากรวยก็ต้องทำงานให้หนักขึ้น ทรหด เหน็ดเหนื่อย ซึ่งก็ต้องบอกว่ามันก็เป็นความจริงครับ แต่เพราะต้องบอกว่ามีกลุ่มคนอีกประเภทหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องเหน็ดเหนื่อยโดยเขาใช้วิธีใช้เงินทำงานแทนนั่นเอง
สารบัญ
เงิน 4 ด้านคืออะไร?
1.Employee (E : ลูกจ้าง)
เป็นวิธีการหารายได้ที่ได้มาจากการรับจ้าง หรือพูดง่ายๆก็คือต้องใช้ทั้งแรงกาย ทั้งเวลาเข้าแลก จะต้องเหน็ดเหนื่อย ทนร้อน ทนคำบ่นด่าจากเจ้านาย ผู้จ้าง และได้รับค่าแรงก็จะมีหลายประเภทเช่นเป็นรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน ถ้าอยากได้เงินมากขึ้น ก็ต้องเอาแรงและเวลา เข้าแลกมากขึ้น เช่นการทำ OT การทำงานล่วงเวลาวันหยุดเสาร์อาทิตย์ สำหรับผู้บริหารระดับสูงก็ยังถือว่าเป็นลูกจ้างเหมือนกันแม้จะได้เงินเดือนค่อนข้างดี แต่เขาก็ต้องได้รับความกดดัน ความเครียดและก็ยังไม่สามารถหยุดทำงานได้
คนส่วนใหญ่จะได้รับเงินจากวิธีนี้ครับ ซึ่งต้องบอกว่าก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเพียงแต่แค่จะขาดในเรื่องของอิสรภาพหลายๆอย่าง ทางด้านเวลา น่าจะต้องเซ็นชื่อ ตอกบัตรเข้าทำงาน นายจ้างเป็นผู้กำหนดวิถีชีวิตของคุณ ทั้งตำแหน่ง เงินเดือนและความเป็นอยู่ในบริษัทนั้น
แต่ต้องบอกว่าคนกลุ่ม E นี้ ส่วนใหญ่แล้วจะค่อนข้างมุ่งเน้นไปสู่ความมั่นคงซะส่วนใหญ่ เพราะตัวเองนั้นอยู่ในวงจรหนี้สินที่ต้องผ่อนทุกๆเดือน ทั้งผ่อนบ้าน ผ่อนรถ การใช้จ่ายกินอยู่ของครอบครัว พวกเขาจึงถูกผลักดันด้วย ความกลัว เป็นตัวขับเคลื่อนให้ทำงานประจำนั้นต่อเนื่อง ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วพวกเขาไม่รู้เลยว่าวันดีคืนดีจะถูกให้ออกจากงานเมื่อไหร่ หากบริษัทขาดทุนในสภาวะวิกฤตก็มีโอกาสที่จะลดต้นทุนเอาคนออกได้เมื่อนั้น
2.Self – Employed (S : คนทำธุรกิจส่วนตัว เจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก)
เป็นรายได้ที่ทำได้จากการเป็นนายตัวเองหรือทำอาชีพส่วนตัวนั้นเอง เนื่องจากว่าพวกเขาเป็นเจ้าของจึงมีความอิสระในการดำเนินกิจการด้วยตัวเอง การตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง บริหารจัดการด้วยตัวเองได้ทั้งหมด ดูดีมากเลยใช่ไหมครับ แต่ต้องบอกว่าการเป็นเจ้าของธุรกิจนั้นเหนื่อยมากๆครับ เพราะนอกจากที่จะไม่มีวันหยุดแล้ว ยังต้องพบคู่แข่งขันการค้าที่หลากหลายมากมาย ที่ทุนหนากว่า หากเรามีทุนน้อยก็แข่งขันด้วยกันค่อนข้างลำบาก พวกเขาน่าจะต้องมีประสบการณ์ที่มากพอ
คนที่เริ่มต้นกิจการใหม่ๆส่วนใหญ่แล้วจะล้มเหลวภายใน 3-5 ปีซึ่งผลสถิตินี้ทำให้เราเห็นว่าการหาเงินด้วยวิธีนี้นั้นไม่ง่ายนัก ค่าเฉลี่ยของความสำเร็จนั้นอยู่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ถ้าหากพวกเขาสามารถผ่านไปได้ แน่นอนครับก็จะทำให้สร้างรายได้ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ สามารถต่อยอด แตกขยายธุรกิจออกไปจนใหญ่โต สร้างรายได้มากกว่าคนลูกจ้างมหาศาล และเป็นการสร้างงานให้กลุ่มลูกจ้างอีกด้วย
ข้อจำกัดของการทำเงินแบบด้าน S ที่สำคัญมากที่สุดคือ เวลา เพราะพวกเขานั้นไม่สามารถหยุดทำงานได้ ถ้าหากหยุดทำงานรายได้ก็หาย เช่น เป็นเจ้าของร้านยี่ปั๊วะขายของ ถ้าปิดหน้าร้าน มาทำให้รายได้ ณวันนั้นหายไปเลยทันที
3. BUSINESS OWNER (B : เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่หรือเจ้าของบริษัท)
คือเงินที่ได้จากการทำธุรกิจขนาดใหญ่ รายได้กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เติบโตและต่อยอดมาจากการประกอบธุรกิจส่วนตัวขนาดเล็ก เมื่อประสบความสำเร็จก็เริ่มขยายตัว ขยายสาขาเพิ่มสินค้าและได้ทำการแตกธุรกิจไปเป็นสาขาอื่น โดยส่วนใหญ่เจ้าของธุรกิจนั้นจะไม่ต้องลงแรงอีกแล้วโดยพวกเขาจะใช้วิธีจ้างคนเก่งมาทำงานให้พวกเขาแทน แล้วเจ้าของธุรกิจนั้นก็จะนั่งดูแลและบริหารในภาพรวมเพียงเท่านั้น
งานลักษณะนี้ถือว่าเป็นงานขนาดใหญ่ ต้องมีทุนและเงินสนับสนุนที่เพียงพอ จะต้องมีการแบ่งแยกงาน หลายระดับนายหน้าที่ ซึ่งจะค่อนข้างเหนื่อยใจในการบริหารคนมากกว่า แต่จะไม่ค่อยเหนื่อยกาย ส่วนค่าตอบแทนนั้นถือว่ามหาศาลหากธุรกิจนั้นได้ดำเนินการไปได้ด้วยดี
สรุปคือ การทำเงินแบบคนด้าน B คือการสร้างธุรกิจขึ้นมาแล้วจ้างให้คนอื่นมาทำให้ธุรกิจของเขาเติบโต ซึ่งเป็นการจ้างคนกลุ่มด้าน E และ S มาทำงานแทนให้พวกเขานั่นเอง ส่วนในเรื่องข้อจำกัดของการทำเงินแบบด้าน B นั้น คือพวกเขาต้องมี ความรู้ทางด้านการเงิน การเริ่มต้นสร้างธุรกิจนอกจากจะมีความรู้ในเรื่องของธุรกิจนั้นๆแล้วยังต้องมีความรู้ทางด้านการเงินเพื่อช่วยควบคุมความเสี่ยงต่อการขาดทุน หลายๆคนไม่สามารถที่จะเข้าก้าวข้ามมาด้าน B ได้เพราะว่ากลัวขาดทุนนั่นเอง
4.Investor (I : นักลงทุน)
เป็นรายได้ที่มาจากการลงทุน ซึ่งก็คือการนำเงินไปต่อเงิน หรือเป็นการให้เงินทำงานแทนเรานั่นเอง รายได้ส่วนนี้เราไม่ต้องใช้แรงกายในการหาเงิน แต่ต้องใช้ความรู้และประสบการณ์ในการลงทุนอย่างมาก แล้วต้องใช้เวลาในการผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านวิกฤตมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วนถึงจะประสบความสำเร็จในการเป็นนักลงทุน ดังคำพูดที่ว่า High risk, high return ถ้าต้องการผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงก็สูง ถ้าต้องการความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนก็ต่ำไปด้วย แต่การไม่มีความรู้ในการลงทุนนั้นเลยแล้วดันไปลงทุนถือว่าเป็นความเสี่ยงที่มากที่สุดนะครับ
การลงทุนนั้นมีหลายรูปแบบมากมายไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้น เพื่อการเก็งกำไร เงินปันผล การลงทุนซื้อที่ดินขายเก็งกำไร ซื้อบ้านคอนโดปล่อยเช่า ซื้อธุรกิจกิจการราคาถูกมาบริหารต่อ แล้วขายไปในราคาที่สูงกว่า จะเห็นว่าการทำเงินแบบคนด้าน I คือการใช้เงินไปลงทุนทำงานเพื่อสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่ากลับมาให้เรานั่นเอง
ข้อจำกัดของคนทำเงินในด้าน I นั้น คือ ความรู้ทางด้านการเงินการลงทุน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีเงินลงทุนมากเท่าไหร่ก็ตามแต่ถ้าหากไม่มีความรู้ทางด้านการเงินการลงทุนก็ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาวที่น่าพึงพอใจได้ ดังนั้นผู้เริ่มต้นที่จะเป็นคนทำงานในด้านในในตอนแรกอาจจะล้มเหลว ผิดพลาดบ้างแต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่จะทำให้พวกเขานั้นเก่งขึ้น เป็นผู้เชี่ยวชาญมากขึ้น และมีความรู้ในด้านการลงทุนมากขึ้น จะทำให้พวกเขานั้นสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้ในระยะยาวนั่นเอง
ก็จบไปแล้วนะครับสำหรับสรุปของพ่อรวยสอนลูก#2 เงินสี่ด้าน ท่านผู้อ่านลองสำรวจตัวเองดูนะครับว่าตอนนี้เราอยู่ในด้านไหนและอยากจะไปอยู่ในด้านไหนซึ่งในแต่ละด้านนั้นมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน
แนะนำบทความที่น่าสนใจ