สารบัญ
1.งานประจำนั้นไม่ค่อยมีคุณค่า
อย่าลืมว่าองค์กรหรือบริษัทนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อส่งมอบคุณค่าบางอย่างให้ลูกค้า โดยที่ลูกค้าเต็มใจจะตอบแทนคุณค่านั้นด้วยเงินที่จะกลายมาเป็นรายได้ของบริษัทดังนั้นถ้าบริษัทของเรายังไม่เจ๊ง แสดงว่าบริษัทนั้นกำลังส่งมอบคุณค่าบางอย่างให้กับสังคมอยู่แล้ว และเราเองก็มีส่วนในการส่งมอบคุณค่านั้นอย่างแน่นอน งานประจำที่เราทำจึงมีคุณค่าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่อยู่ที่เราเองต่างหากที่จะมองให้ออกว่าสิ่งที่เราทำนั้นส่งผลกระทบต่อลูกค้าและสวัสดิภาพของสังคมอย่างไรบ้างทำนองยิ่งใกล้ยิ่งห่างก็ได้
2. ทำงานประจำแล้วไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว
คนที่เป็นเจ้าของกิจการ หรือทำงานฟรีแลนซ์ หรือทำที่ได้เป็นนายของตัวเอง มักจะหยิบยกข้อดีว่า มันทำให้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวได้เต็มที่แต่ผมว่าไม่จริงเสมอไป เพราะเท่าที่ผมเห็น หลายคนกลับบ้านดึกกว่าคนทำงานประจำเสียอีก เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราเป็นเจ้าของธุรกิจ เราจะไม่มีเวลาเข้างานและไม่มีเวลาเลิกงานยิ่งถ้าบริหารไม่เป็น หรือระบบยังไม่ลงตัว เราอาจต้องลงไปแก้ปัญหาเองเกือบทุกอย่าง คนที่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้จึงไม่ต่างอะไรกับคนทำงานประจำต่างกันแค่อย่างเดียวคือ คนทำงานประจำนั้นถ้าทำงานไม่ไหวก็ลาออกไปอยู่ที่อื่นได้ แต่คนที่เป็นเจ้าของธุรกิจนั้น ถึงจะเจอปัญหาหนักอย่างไรก็ “ลาออก” ไม่ได้เพราะเงินก็กู้มาแล้ว ร้านก็เช้งไว้แล้ว ไหนจะพนักงานอีกหลายชีวิตที่รอเงินเดือนจากเราอีก
สำหรับคนที่เป็นฟรีแลนซ์ ความรับผิดชอบอาจน้อยกว่าคนเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่ราคาที่ต้องจ่ายก็คือความกังวลที่ว่าจะมีงานเข้ามาสม่ำเสมอแค่ไหน หยุดทำงานเมื่อไหร่รายได้ก็หยุดเช่นกันและสุดท้ายแล้ว ถ้าธุรกิจของเราไปได้ดี อยากอยู่กับครอบครัวทั้งวันก็ทำได้ แต่จำนวนชั่วโมงที่อยู่ด้วยกันไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าความสัมพันธ์จะดีเสียหน่อย เพราะถ้าเจอหน้ากันวันละ 24 ชั่วโมง แต่ต่างฝ่ายต่างเล่นมือถือ ก็อาจจะเข้าทำนองยิ่งใกล้ยิ่งห่างก็ได้
3. ทำงานประจำไม่มีทางรวยได้
เรื่องนี้ขึ้นอยู่ที่ใครจะมองว่าต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะรวยถ้ามองว่าต้องมีเงิน 100 ล้านบาท หรือ 1,000 ล้านบาทถึงจะเรียกว่ารวย การทำงานประจำก็คงไม่สามารถทำให้คุณรวยได้จริงๆแต่ถ้ามองว่า ความร่ำรวยคือมีเงินเก็บในวัยเกษียณสัก 10 ล้านบาท การทำงานประจำและเก็บออมอย่างมีวินัยก็สามารถทำให้คุณรวยได้อย่างแน่นอน
หากวันนี้คุณเริ่มต้นชีวิตวัยทำงานด้วยเงินเดือน 20,000 บาท และแบ่งรายได้ 15% มาซื้อกองทุน LTF ทุกเดือนเป็นเวลา 30 ปี คุณจะมีเงินเก็บประมาณ 10 ล้านบาทครับ! โดยเงินเก็บจำนวนนี้ตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า เงินเดือนของคุณปรับขึ้นปีละ 5% และผลตอบแทนของกองทุน LTFคือปีละ 10% นะครับนี่แค่เงินเก็บจากการซื้อ LTF อย่างเดียวนะครับ ยังไม่รวมเงินเก็บจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและเงินที่บริษัทจะสมทบให้ ดังนั้น หากคุณมีวินัยการออมที่ดี การทำงานประจำก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ดูณมีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบายในวัยเกษียณ
4. ทำงานประจำมันไม่เท่
ความเท่เป็นแฟชั่นนะครับ และอะไรที่เป็นแฟชั่นมักจะอยู่ได้ไม่นานแต่สิ่งที่ยั่งยืนกว่าความเท่คือคุณค่าดังนั้น“งานฟรีแลนซ์หรืองานประจำ อย่างไหนเท่กว่ากัน” จึงไม่สำคัญเท่ากับว่า งานแบบไหนที่เราสามารถสร้างคุณค่าได้มากกว่ากัน และอย่าลืมว่าที่เราเห็นว่าเท่ ๆ นั้น อาจเป็นเพียงมุมเดียวที่เจ้าของธุรกิจหรือคนเป็นฟรีแลนซ์เขาแสดงให้เราเห็น และยังมีมุมที่ไม่เท่อีกมากมายที่เขาไม่ได้เอาออกมาโชว์
5. ทำงานประจำแล้วไม่มั่นคง
จริงอยู่ว่า ยุคสมัยที่คนคนหนึ่งจะสามารถฝากชีวิตไว้กับบริษัทใดได้นั้นมันจบลงไปนานแล้ว เมื่อโลกหมุนเร็วขึ้น องค์กรก็จำเป็นต้องปรับตัวให้พร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลง นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ระยะหลังเราได้ยินข่าวคราวองค์กรใหญ่ ๆ ทั่วโลกปลดพนักงานอยู่เป็นประจำ
เมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้วทีมฟุตบอลเรอัลมาดริด (Real Madrid) เป็นแหล่งรวมซูเปอร์สตาร์ระดับโลก ไม่ว่าจะ เป็นซีเนอดีน ซีดาน โรนัลโด้ (บราชิล) โรแบร์โต้ คาร์ลอส หรือหลุยส์ ฟิโก้ ตอนที่มีข่าวลือว่าเรอัลมาดริดคิดจะซื้อเดวิด เบคแฮม จากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ก็มีนักข่าวไปสัมภาษณ์นักเตะทีมเรอัลมาดริดว่า เมื่อมีนักเตะเก่งๆอยู่คับทีมแล้ว จะยังมีที่ว่างสำหรับเบคแฮมอยู่หรือนักเตะคนนั้นตอบว่า “We always have room for good players.-เรามีที่ว่างให้นักเตะเก่งๆ อยู่เสมอครับ”
ผมว่าโลกฟุตบอลกับโลกธุรกิจก็ไม่ได้ต่างกัน เพราะไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่ องค์กรทุกองค์กรก็ยังคงหาคนเก่งๆมาร่วมทีมด้วยเสมอ หน้าที่ของเราในฐานะพนักงานประจำคือการพัฒนาตัวเองทุกวัน เมื่อเราเก่งจนใครๆ ก็อยากได้ตัวไปช่วยงาน เมื่อนั้นแหละเราถึงจะมี “ความมั่นคง”อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเลือกทำงานประจำหรืองานไม่ประจำครับ