ผมเชื่อว่าหลายๆคนเมื่อผ่านช่วงวิกฤตโควิดมาทำให้รู้สึกว่า การมีรายได้หลักเพียงทางเดียวนั้นไม่ปลอดภัยในชีวิตเอาเสียเลย วันดีคืนดีไม่รู้ว่ารายได้หลักจะหายไปเมื่อไหร่ จะดีกว่าไหมครับถ้าเราสามารถมีรายได้ในช่องทางอื่นนอกเหนือจากงานประจำที่เราทำอยู่และสิ่งนั้นสามารถสร้างรายได้ให้เราได้อย่างต่อเนื่อง ในระยะยาวโดย ไม่ต้องออกแรงตลอดเวลา เพียงแค่เหนื่อยในการลงแรงในเซ็ตระบบในช่วงแรก บทความนี้จะนำวิธีการสร้าง Passive Income มนุษย์เงินเดือน มาฝากครับ
สารบัญ
#เข้าใจถึงประเภทรายได้ก่อน
ในโลกใบนี้หากจำแนกรายได้จากการทำงานสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
1.Active Income
ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือรายได้ที่มาจากการทำงาน ซึ่งคุณนั้นจะต้องใช้ทั้งแรง เวลา สุขภาพ ในการแลกรายได้สิ่งนี้มา หากวันไหนคุณหยุดทำงานรายได้ Active Income นี้คุณก็จะไม่ได้มัน และแน่นอนครับถ้าคุณต้องการรายได้เพิ่มมากขึ้นคุณก็จะต้องลงแรง เวลา สุขภาพมากขึ้น หรือเพิ่มความสามารถ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากขึ้น
ตัวอย่างเช่น คุณเป็นพนักงานในโรงงานประกอบชิ้นส่วนรถยนต์ ถ้าคุณต้องการรายได้เพิ่มมากขึ้นคุณก็ต้องทำ OT (Overtime) ล่วงเวลาหรือมาทำงานในวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ แต่หากวันไหนถ้าคุณหยุด คุณก็จะถูกตัดเงินเดือนช่วงนั้นออก
2.Passive Income
สิ่งที่เราได้ทำการลงทุนลงแรงไปในช่วงแรก แล้วสิ่งนั้นสร้างผลตอบแทนให้กับเราได้ในระยะยาว ซึ่งผลตอบแทน อาจจะมาในรูปแบบ ค่าเช่า, เงินปันผล, ค่าโฆษณา และกำไร
หากเปรียบรายได้ประเภทนี้ง่ายๆก็เปรียบเสมือนต้นแอปเปิ้ลที่คุณต้องนำเมล็ดพันธุ์มาปลูก จากนั้นเราค่อยๆรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยและรอให้มันเติบโตไปเรื่อยๆ เมื่อต้นแอปเปิ้ลของคุณแข็งแรงออกดอกออกผล คุณก็สามารถนำผลของมันมากินได้ในระยะยาว
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ก็เริ่มสนใจแล้วใช่ไหมครับว่า Passive Income งั้นเราจะสามารถสร้างมันขึ้นมาได้อย่างไร? แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้นผมขออธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับ Passive Income เพิ่มเติมกันก่อนนะครับ
#ทำความเข้าใจถึง Passive Income ที่แท้จริงกันก่อน
1.การสร้าง Passive Income และต้องใช้เวลาและความอดทนอย่างมาก
ต้องใช้ระยะเวลามากกว่า 1-2 ปีแน่นอนครับ ลองคิดดูง่ายๆเราเรียนจบปริญญาตรี 1 ใบ ใช้เวลา 18 ปี เพื่อออกมาทำรับเงินเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ 15,000 บาท แต่เราต้องการ Passive Income ให้ได้ภายใน 1 ถึง 2 ปีมันเป็นไปได้ยากมากครับ (ทำได้แต่โอกาสน้อย และมีโอกาสทีคุณจะโดนคนอื่นหลอกเอาเงินของคุณไปได้สูง)
2.หลักการของ Passive Income คือไม่ต้องใช้เวลาเข้าแลกในการทำงานก็จริงแต่คุณก็ต้องตรวจสอบ ลงมือปรับปรุงมันอยู่เสมอๆ
มีคนหลายๆคนเข้าใจผิดนะครับว่า Passive Income เมื่อคุณสร้างระบบเสร็จแล้วคุณจะไม่ต้องมาเข้าดูแลมันอีกตลอดชีวิตเลยแล้วมันจะสามารถสร้างรายได้ให้กับคุณได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ครับ เพราะทุกๆอย่างไม่มีความถาวรในตัวมันเอง
ตัวอย่างเช่น อสังหาริมทรัพย์ หากคุณมีบ้านเช่าหลังหนึ่งและมีผู้เช่าอยู่ Passive Income ของคุณก็คือ “ค่าเช่า” แน่นอนครับทุกๆเดือนคุณอาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องลงไปดูว่าบ้านหลังนี้เป็นยังไงก็รอแค่ค่าเช่าโอนเงินเข้าบัญชีของคุณก็จบแล้วใช่ไหมครับ แต่เมื่อผ่านไปหลายๆเดือน หลายๆปี บ้านเช่าหรือทรัพย์สินของคุณก็จะเสื่อมโทรมลง ผู้เช่าก็อาจจะมีการย้ายออกบ้าง ทำให้คุณต้องมาทำการรีโนเวทบ้าน ซ่อมห้องน้ำ ทาสีบ้านใหม่ รวมถึงหาผู้เช่าใหม่ เป็นต้น
หุ้นที่เคยปันผล วันหนึ่งก็อาจกิจการไม่ดี ไม่ทำกำไร เมื่อไม่ทำกำไร ก็ไม่มีเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น
ค่าลิขสิทธิ์ เพลง หนังสือ ที่เคยได้รับความนิยม วันหนึ่งมีเพลงใหม่ หนังสือใหม่กว่า คนก็ลืม ไปซื้อของที่ใหม่กว่า ดีกว่า
3.เมื่อสามารถสร้างทักษะ Passive Income ได้เองแล้ว เราจะสามารถสร้างมันได้อย่างต่อเนื่องไปตลอดชีวิต
การสร้าง Passive Income ก็เปรียบเสมือนการขี่จักรยานนั่นแหล่ะครับ ให้เราลองนึกกลับไปตอนสมัยที่เรายังเป็นเด็ก ในตอนที่เราเริ่มหัดขี่จักรยานครั้งแรก เรานั้นล้มลุกคลุกคลานขนาดไหน และเมื่อผ่านไปพอเราขี่จักรยานได้ เมื่อเราจะกลับมาขี่จักรยานอีกครั้งเมื่อใด เราก็สามารถขี่จักรยานได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องกลับมาเริ่มต้น ล้มลุกคลุกคลานใหม่ นั้นเป็นเพราะคุณมีทักษะในขี่จักรยานแล้วครับ
สำหรับการทักษะการสร้าง Passive Income ก็เหมือนกันครับ หากคุณเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ มีวิธีคิดที่ถูกต้อง แล้วได้ลงมือสร้างมันอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน คุณจะสามารถสร้างมันได้อย่างต่อเนื่องจนไปสู่อิสรภาพทางการเงินได้แน่นอนครับ
4.Passive Income นั่นดีกว่า Active Income จริงรึ?
ประเด็นนี้เคยเป็นประเด็นที่หลายๆคนได้ทำการถกเถียงกันมาก ซึ่งมันจะบอกว่าการเป็นพนักงานประจำหรือรายได้ที่จะมาจาก Active Income นั้นไม่ดี
แต่คำตอบง่ายๆของคำถามนี้คือ การมีรายได้หลายช่องทาง (Multi-Income Stream) นั้นดีกว่ารายได้ช่องทางเดียวอย่างแน่นอนครับ
สำหรับในเบื้องต้นของคนที่ไม่มีต้นทุนชีวิตนั้นการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็คงต้องมาจาก Active Income เพราะเป็นแหล่งรายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในปัจจัยพื้นฐานเพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ และระหว่างนี้ถ้าคุณมีทรัพยากรด้านการเงิน ด้านเวลาเพิ่มมากขึ้นก็ให้ค่อยๆแบ่งทรัพยากรเหล่านี้มาลงทุนขยายช่องทางของรายได้ โดยให้เพิ่มช่องทางของ Passive Income เพราะในระยะยาว Passive Income จะสามารถช่วยให้คุณผ่อนแรง ช่วยลดความกังวลทางด้านการเงิน เพิ่มทางเลือกทำในสิ่งที่ตัวเราชอบได้
ดังนั้นสำหรับคนทั่วไปหรือมนุษย์เงินเดือนนั้นให้พยายามสร้างแหล่งรายได้นี้ไปควบคู่กันครับทั้ง Active และ Passive Income
5.มี Passive แล้วจะมีอิสรภาพทางการเงิน?
ประเด็นนี้ก็เป็นประเด็นที่หลายๆคนเข้าใจผิดอีกเช่นกันครับเพราะการมีอิสรภาพทางการเงินนั้นขึ้นอยู่กับหลักการดังนี้คือ รายได้จาก Passive Income > รายจ่ายประจำ
ซึ่งคำตอบหลักๆนี้ก็คงจะขึ้นอยู่กับว่าความพึงพอใจของคนแต่ละคนนั้นเป็นอย่างไร บางคนอาจจะมีรายจ่ายประจำเดือนละ 20,000 บาท ถ้าหากมี Passive Income มากกว่า 20,000 บาทต่อเดือนก็ถือว่ามีอิสรภาพทางการเงินในระดับหนึ่งแล้ว แต่ถ้าหากนำไปเปรียบเทียบกับอีกคนซึ่งมีรายจ่ายประจำต่อเดือนอยู่ที่ 50,000 บาทก็คงยังไม่ถึงอิสรภาพทางการเงินของคนนั้นใช่ไหมครับ ดังนั้นโจทย์หลักๆก็คือขึ้นอยู่กับความพอเพียงของแต่ละคนครับ
เริ่มพอเห็นภาพแล้วใช้ไหมครับว่าจริงๆแล้วเราควรจะมองภาพเรื่อง Passive Income เป็นอย่างไร คราวนี้ผมจะอธิบายภาพใหญ่ว่าเราจะสร้าง Passive Income ในรูปแบบไหนได้บ้างนะครับ
#ช่องทางการสร้าง Passive Income
ที่ผมจะกล่าวถึงการสร้าง Passive Income นี้ ใครๆก็สามารถสร้างได้ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานเงินเดือน เจ้าของธุรกิจต่างๆ และไม่จำเป็นต้องทำเป็นในทุกช่องทางที่ผมจะบอกในที่นี้ แต่ประเด็นสำคัญคือขอให้ช่องทางเหล่านั้นที่คุณอยากจะทำนั้นต้อง ถูกจริต ของตัวคุณเอง เพราะการทำในสิ่งที่ตัวเองหลงใหลและชอบนั้นจะทำให้เราอยู่กับมันได้ในระยะเวลายาวนาน ไม่ใช่หลักเดือน แต่ต้องอยู่ไปในระดับหลายๆปี หรืออาจจะตลอดชีวิตครับ
1.อสังหาริมทรัพย์
อสังหาริมทรัพย์นั้นเป็น Passive Income ที่ผมชอบมากที่สุดเนื่องจากมันเป็นทรัพย์สินที่สามารถจับต้องได้ เมื่อได้ครอบครองก็มีความรู้สึกว่าเราได้เป็นเจ้าของทรัพย์สินชิ้นนี้จริงๆ สามารถเข้าไปปรับปรุง ตกแต่งเพิ่มเติมเพิ่มมูลค่าได้ สามารถขายต่อก็ได้
หัวใจสำคัญของการทำอสังหาริมทรัพย์ให้เป็น Passive Income คือ
1.“ค่าเช่า” และต้องเป็นค่าเช่าที่ทำให้ “กระแสเงินสดเป็นบวก”
ค่าเช่าที่ทำให้กระแสเงินสดเป็นบวก นั้นหมายความว่า รายได้จากค่าเช่าต่อเดือน หัก รายจ่ายอื่นๆรายต่อเดือนในทรัพย์สินชิ้นนั้น เช่นค่าผ่อนบ้านรายเดือนค่าส่วนกลาง แล้วยังเหลือเงินรายรับเป็นบวก
ตัวอย่างเช่น
นาย A ซื้อคอนโด 1,500,000 บาท มาปล่อยเช่าได้เดือนละ 7,000 บาท โดยวางเงินดาวน์ 300,000 บาท กู้ธนาคารในช่วงโปรดอกเบี้ยพิเศษ 3% ตลอดระยะเวลา 3 ปี แล้วเมื่อนำยอดจัดมาคำนวณก็ปรากฏว่าเสียรายจ่ายค่าผ่อนคอนโดนี้เดือนละ 5,000 บาท แบบนี้ถือว่าได้กระแสเงินสดเดือนละ 2,000 บาท ถือว่ากระแสเงินสดเป็นบวกถือว่าดีครับ
และถ้าหากคิดเป็น อัตราผลตอบแทนในรูปแบบเงินสด (Cash Conversion Ratio) = (กระแสเงินสดสุทธิต่อปี x 100)/(เงินดาวน์ + ค่าตกแต่ง + ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย) = (2000 x 12 x 100) / (300,000+50,000+100000) = 5.33%
โดยอัตราผลตอบแทนในรูปแบบเงินสด (CCR) นี้เปรียบเสมือนตัวเปรียบเทียบว่าทรัพย์สินชิ้นนี้สามารถผลตอบแทนให้กับเราได้เท่าไร เมื่อเราลงทุนลงไปในทรัพย์สินชิ้นนั้นซึ่ง ประเด็นหลักๆคือต้องมีกระแสเงินสดต่อเดือนมีค่าเป็นค่าบวก ก่อนถึงจะทำเปอร์เซ็นต์ CCR นั้นเป็นบวก
2.ทำเล ณ สถานที่นั้น ควรมีผู้เช่ามีคนอยู่เต็ม
แน่นอนครับ การที่เราจะได้ค่าเช่ามานั้นก็คือต้องมีคนมาเช่า ถูกไหมครับ และการที่มีคนมาเช่าทรัพย์ของเรานั้นก็เป็นสถานที่หลักๆที่คนส่วนใหญ่มักจะมาอาศัยอยู่ ยกตัวอย่างเช่น
- ใกล้แหล่งที่ทำงานในเมืองหรือที่นิคมอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น คนต่างชาติมาอยู่เพื่อทำงานในเมือง, คนต่างจังหวัดมาอยู่ในแหล่งนิคมอุตสาหกรรม คนเหล่านี้ไม่นิยมที่จะซื้ออสังหาริมทรัพย์เพราะคิดว่าในบั้นปลายชีวิตก็คงจะกลับไปอยู่บ้านเกิดดังนั้นการเช่าดีกว่าการซื้อ อสังหาสำหรับในมุมมองคนกลุ่มนี้ถือว่าดีกว่าเพราะว่าประหยัดต้นทุนนั่นเอง
- ใกล้สถานศึกษา เช่น นักเรียน นิสิตที่มาจากต่างจังหวัดมาอยู่หอใกล้มหาวิทยาลัย
- ใกล้สถานที่ๆอำนวยความสะดวก สถานที่ท่องเที่ยว เช่น พัทยา หัวหิน คนต่างชาติอาจจะมาเช่าอยู่เพื่อส่วนหนึ่งคือได้ท่องเที่ยวและได้ทำงานในสถานที่ตรงนั้นด้วย
เริ่มพอเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับว่าคนแต่ละคนก็มีเป้าหมายในการมาเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่ต่างกันดังนั้นก่อนที่เราจะซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่าเราต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย ณ สถานที่ตรงนั้นก่อนว่าเขามาเช่าเพราะอะไร แล้วทำไมถึงต้องเช่าเรา
3.การค้นหาห่านทองคำ
หลังจากที่เราเข้าใจ ถึงค่าเช่าอย่างถ่องแท้แล้ว แล้วคราวนี้เราจะไปหาทรัพย์ที่สามารถสร้างกระแสเงินสดเป็นบวกให้เราได้อย่างไร ผมจะเล่าถึงวิธีการที่ผมใช้ให้ฟังนะครับ
ค้นหาอสังหาริมทรัพย์ทางอินเตอร์เน็ต
ในยุคสมัยนี้ผมคิดว่าการที่มีเทคโนโลยีเข้ามาสามารถทำให้เราทำงานได้โดยง่ายมากขึ้นครับ การค้นหาทรัพย์ทางอินเทอร์เน็ตสามารถลดเวลาของเราไปได้ค่อนข้างเยอะเพราะมันจะทำให้เราเห็นถึงภาพรวมของแหล่งสถานที่นั้นๆว่ามีราคาตลาดอยู่ที่เท่าไหร่และมีคนจ่ายค่าเช่าอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่
เว็บที่ผมใช้หลักๆก็เป็นเว็บทั่วๆไปนั่นแหละครับคือสามารถเสิชใน Google ได้รวมถึงเว็บที่ลงประกาศขายบ้าน รวมถึง ทรัพย์สิน NPA (Non Performing Asset) ก็คือทรัพย์สินรอการขาย เป็นทรัพย์สินของสถาบันการเงินที่มาจากลูกหนี้ของสถาบันการเงินที่นำมาเป็นหลักประกันในการกู้เงินหรือการค้ำประกัน แต่ลูกหนี้ไม่สามารถที่จะชำระได้ตามสัญญาธนาคารจึงต้องมีการฟ้องร้องยึดทรัพย์เพื่อนำไปขายเอาเงินมาชำระหนี้
โดยผมแนะนำให้ทุกๆคนที่อยากจะเริ่มหาอสังหาริมทรัพย์เป็นบ้านเช่าหรือห้องเช่านั้น ให้เริ่มจากพื้นที่สถานที่ใกล้ๆบ้านเราก่อนนะครับ เพราะสถานที่ใกล้บ้านเรานั้นเราจะมีข้อมูลเห็นความเป็นมาของสถานที่นั้นเป็นระดับ 5 ถึง 10 ปีและจะเป็นการฝึกเก็บข้อมูลต่างๆเพื่อเป็นประสบการณ์ในหลังต่อๆไปนะครับ
ตัวอย่างเว็บ NPA
- https://www.ghbhomecenter.com/ (ทรัพย์รอขายของธนาคารอาคารสงเคราะห์)
- https://www.bam.co.th/ (ทรัพย์รอขายของบริษัทบริหารสินทรัพย์)
นอกจากนี้ยังมีเว็บสถาบันการเงินอื่นๆที่มีทรัพย์สิน NPA แล้วเราสามารถเข้าไปดูได้ เช่น
- https://www.kasikornbank.com/th/PropertyForSale/property (ทรัพย์รอขายของธนาคารกสิกร)
- https://npa.krungthai.com/WebShowRoom/home.action (ทรัพย์รอขายของธนาคารกรุงไทย)
- https://npa-assets.gsb.or.th/ (ทรัพย์รอขายของธนาคารออมสิน)
ตัวอย่างเว็บไซต์ค้นหาทรัพย์ทั่วไป
นี่เป็นแค่ตัวอย่างนะครับจริงๆแล้วยังมีเว็บไซต์อีกมากมายที่เราสามารถไป Search หาข้อมูลเพื่อหาอสังหาริมทรัพย์
นอกจากนี้นะครับยังมีเครื่องมือของทาง Google Map ที่ทำให้เราสามารถสำรวจทรัพย์ได้ง่ายขึ้นในโลกออนไลน์สามารถเข้าเว็บไซต์ได้ที่นี่ https://www.google.co.th/maps
เมื่อเราทำการลากรูปตุ๊กตาคนลงในแผนที่เราจะสามารถเดินไปมาบนแผนที่ตรงนั้นและเห็นสภาพแวดล้อมได้ ของอสังหาริมทรัพย์ได้
นี้เป็นตัวอย่างของสภาพบรรยากาศที่ได้ลากตุ๊กตาคนลงมานะครับแต่ต้องบอกว่ารูปภาพนี้อาจจะยังไม่ได้อัพเดทแบบเรียลไทม์แต่เป็นภาพ Street View ตอน เดือนกุมภาพันธ์ปี 2020 (สามารถดูว่าอัพเดทวันไหนได้จากข้อมูลด้านซ้ายบน)
เริ่มพอเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับว่าการทำการบ้านหาข้อมูลอสังหาริมทรัพย์บนอินเทอร์เน็ตสามารถทำให้เราเห็นภาพรวม ราคา ค่าเช่า สภาพแวดล้อม สถานที่ ซึ่งต้องบอกว่าประหยัดเวลาไปได้ค่อนข้างเยอะมากๆครับ
ค้นหาอสังหาริมทรัพย์โดยการลงพื้นที่จริง
หลังจากที่เราได้ทำการค้นหาทรัพย์บนอินเทอร์เน็ตแล้วสิ่งสุดท้ายที่เราจะขาดไม่ได้เลยก็คือเรื่องของการลงพื้นที่จริงครับ ถึงแม้ว่าเราจะทำการบ้านค้นหาทรัพย์บนอินเตอร์เน็ตหนักแค่ไหนก็ตามแต่ถ้าหากเราไม่ได้ไปดูหน้างานจริงก็ไร้ความหมายครับ
การที่เราได้ลงพื้นที่ไปดูหน้างานจริงๆจะทำให้เราเห็นสภาพแวดล้อมของอสังหาริมทรัพย์ชิ้นนั้น จำนวนคนที่อยู่อาศัยในพื้นที่นั้นเต็มหรือไม่ กลุ่มลูกค้าที่เข้ามาอยู่อาศัยทำอาชีพอะไรแล้วทำไมถึงมาอยู่ตรงนั้น การที่เราได้ลงพื้นที่แล้วไปสอบถามข้อมูลคนพื้นที่จะทำให้เราเข้าใจอสังหาริมทรัพย์ชิ้นนั้นมากขึ้นและสามารถรู้ราคาตลาดที่แท้จริง ค่าเช่าที่แท้จริง จากการสอบถามคนในพื้นที่ตรงนั้น (อสังหาริมทรัพย์ที่ลงบนอินเทอร์เน็ตมักจะมีการบวกราคาเพิ่มขึ้นหรือค่าเช่าเพิ่มขึ้นเพื่อให้คนที่มาดูหรือซื้อนั้นสนใจมากกว่าปกติ ดังนั้นการลงพื้นที่จริงจึงเป็นประโยชน์มากๆ)
มีคนเคยให้สูตรไว้ว่า 100 : 10 : 3 : 1
ออกไปดูอสังหาริมทรัพย์ 100 แห่ง เสนอซื้อ 10 แห่งที่คุณคิดว่าดีที่สุด จะมี 3 ใน 10 รายที่ให้เงื่อนไขที่ดีกลับมา จงเลือกซื้อ 1 แห่งที่ดีที่สุดจริงๆ
ซึ่งผมมองว่าสูตรนี้เป็นสูตรที่ดีมากๆ และก็เหมาะสำหรับคนที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์มือใหม่ที่อยากซื้อทรัพย์ไว้ปล่อยเช่า และเมื่อคุณได้ดูอสังหาริมทรัพย์เกินร้อยแห่งขึ้นไปผมเชื่อว่าคุณจะมีประสบการณ์ที่จะทำให้คุณสามารถดูทรัพย์ได้เร็วขึ้น และเข้าใจว่าทรัพย์ชิ้นไหน สามารถซื้อลงทุนได้หรือทรัพย์ชิ้นไหนที่ไม่ควรซื้อลงทุน
จบไปแล้วนะครับสำหรับเรื่องอสังหาริมทรัพย์ช่องทางในการทำ Passive Income ช่องทางแรก
2.เงินปันผลจากกองทุนหุ้น / กองทุนรวม
วิธีการนี้เป็นการสร้าง Passive Income ที่ผมก็ชอบเหมือนกันครับ
1.เงินปันผลจากหุ้น
ผมแนะนำวิธีการสำหรับคนที่มีเวลา พร้อมตั้งใจศึกษาหุ้นด้วยตัวเองและสามารถรับความเสี่ยงได้ สามารถลงทุนหุ้นที่ตัวเองชอบได้เลยแต่ว่าเนื่องจากบทความนี้เป็นบทความที่จะเน้นถึงการสร้าง Passive Income ผมก็จะเน้นไปในหุ้นที่มีปันผลค่อนข้างเยอะนะครับ
เมื่อคุณนำเงินไปลงในหุ้นบริษัท ทางบริษัทก็จะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นตามที่กำหนดไว้ ซึ่งเราสามารถหาข้อมูลรายละเอียดของหุ้นตัวนั้นๆได้จากหลากหลายช่องทาง และในเว็บที่เชื่อถือได้ก็คือเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์นะครับ https://www.set.or.th/ สำหรับคนที่ชอบในเรื่องของการปันผลก็สามารถดูได้ที่ SETHD (SET High Dividend) คือกลุ่มหุ้นปันผลสูงในตลาดหลักทรัพย์ อยู่ในเกณฑ์ที่ดีและสม่ำเสมอ
ยกตัวอย่างเช่น
เงินปันผลของ TISCO : บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
ปี 2560 Tisco จ่ายเงินปันผล 3.95%
ปี 2561 Tisco จ่ายเงินปันผล 6.39%
ปี 2562 Tisco จ่ายเงินปันผล 7.05%
ปี 2563 Tisco จ่ายเงินปันผล 8.76%
โดยเฉลี่ยแล้ว 4 ปี ในช่วงปี 2560 – 2563 ทิสโก้จ่ายเงินปันผลเฉลี่ย 6.54% ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผลค่อนข้างโอเคเลยนะครับ
แต่ทั้งนี้ราคาต่อหุ้นของทาง Tisco ก็อาจจะมีการแกว่งบ้างขึ้นหรือลงอยู่กับสถานการณ์ ณ ตอนนั้นของทางบริษัท ยกตัวอย่างเช่นถ้าหากคุณซื้อในตอนปี 2560 ราคาอยู่ที่ 88.5 และคุณมาขายในช่วงปี 2561 ที่ 78.25 คุณจะขาดทุนถึง -11.6% แต่ถ้าหากคุณไปขาย ณ ปี 2562 ที่ 99.25 คุณจะกำไรถึง +12.1% ซึ่งเรามีศัพท์ภาษาหุ้นเรียกว่า Capital gain
ดังนั้นนอกจากที่คุณจะดูเรื่องของปันผลของทางบริษัทแล้ว คุณต้องเข้าใจถึงธุรกิจของบริษัทนั้นๆในเชิงลึกว่ามีแนวทางการทำธุรกิจในอนาคตเป็นอย่างไร ผู้บริหารมีทัศนคติ นิสัย การบริหารยังไง คอยติดตามอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสามารถฟังใน Opportunity day และอ่านรายงานประจำปี 56-1 (เป็นรายงานที่แสดงข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับบริษัทและผลการดำเนินงานที่ผ่านมา)
2.เงินปันผลจากกองทุนหุ้นปันผล
วิธีการนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่มีเงินแต่ยังไม่มีเวลามาศึกษารายละเอียดหุ้น ซึ่งก็สามารถทำได้โดยซื้อกองทุนหุ้นปันผล โดยหลักการง่ายๆก็คือเมื่อเราซื้อกองทุนหุ้นปันผลแล้ว ผู้จัดการกองทุนจะนำเงินของเราไปซื้อ หุ้นที่มีผลประกอบการดี และมีเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้น ผลประโยชน์ของนักลงทุนที่ซื้อกองทุนหุ้นปันผลก็คือได้รับเงินปันผลและกำไรจากการขายหน่วยลงทุน
สำหรับหลักการดูกองทุนหุ้นปันผลตอนนี้เราสามารถใช้ข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตได้เต็มไปหมดนะครับซึ่งสามารถเปรียบเทียบ Fund Performance ได้ให้แต่ละกองทุนได้ในแต่ละธนาคารก็ลองไป search เปรียบเทียบดู อ่านหนังสือชี้ชวนของแต่ละกองทุนซึ่งจะเป็นการกล่าวรายละเอียดว่ากองทุนนี้ลงในหุ้นไหนเป็นหลัก มีความเสี่ยงมีอยู่ระดับไหน โดยผมจะอธิบายหลักการเบื้องต้นในการจ่ายปันผลของกองทุนให้ดูนะครับ
ยกตัวอย่างเช่น
กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นทุนปันผล (ชนิดจ่ายเงินปันผล) SCBDV
สำหรับการซื้อกองทุนนั้นเราจะใช้หลักการคือเป็นมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) จากรูปภาพวันที่ 12 ตุลาคม 2564 ราคาต่อ 1 หน่วยลงทุนคือ 9.8338 บาท นั่นเอง
ส่วนวันที่ขึ้น XD คือ Excluding Dividend หรือผู้ซื้อไม่ได้รับสิทธิ์เงินปันผล ซึ่งถ้าเราอยากได้เงินปันผลแล้วต้องซื้อก่อนวันขึ้น XD 1 วันครับ ให้ผมจะยกตัวอย่างผลตอบแทนตอนปี 2561 ให้ดูนะครับ
ในปี 2561 มีการปันผล SCBDV ทั้งหมด 2 รอบ
รอบที่ 1 วันที่ขึ้น XD คือ 9 พ.ค. 2561 โดยราคาต่อหน่วย ณ วันที่ 8 พ.ค. 2561 คือ 11.059 บาท/หน่วยการลงทุน และมีการปันผล 0.8 บาทต่อหน่วย
รอบที่ 2 วันที่ขึ้น XD คือ 9 พ.ย. 2561 โดยราคาต่อหน่วย ณ วันที่ 8 พ.ย. 2561 คือ 11.057 บาท/หน่วยการลงทุน และมีการปันผล 0.1 บาทต่อหน่วย
สรุปแล้วในปี 2561 จะได้รับเงินปันผลคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ประมาณ (0.1+0.8) / 11.059 = 8.14%
อันนี้เป็นวิธีคิดผลตอบแทนง่ายๆของการปันผลของกองทุนรวมนะครับ ซึ่ง NAV ก็จะปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลาเหมือนกันทำให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลก็อาจจะมีเปอร์เซ็นต์คลาดเคลื่อนไปบ้าง
เมื่อเราพอเข้าใจหลักการของหุ้นและกองทุนปันผลแล้ว ผมแนะนำให้ใช้วิธี DCA ในการลงทุนเพื่อสร้าง Passive Income กันนะครับ โดย DCA (Dollar Cost Averaging) คือการทยอยลงทุนเป็นงวดๆ โดยใช้เงินที่เท่ากัน สำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา แน่นอนครับรายได้เราก็จะคงที่ทุกเดือนเพราะฉะนั้นเนี่ยเราสามารถตัดเงินบางส่วนออกมาเพื่อลงทุนสร้าง Passive Income ให้กับเราได้ในระยะยาว
ยกตัวอย่างเช่น
หากคุณต้องการ Passive Income เดือนละ 5,000 บาทจากกองทุนปันผล โดยออมเงิน DCA เดือนละ 3,000 บาทจะใช้เวลานานเท่าไหร่ ผ่านลงทุนในกองทุนปันผล SCBDV ?
สมมติให้ SCBDV ปันผลปีละ 8%
ถ้าหากเราต้องการ Passive Income เดือนละ 5,000 บาทหมายความว่าปีนึงเราจะต้องมีเงินปันผล 5000 x 12 = 60,000 บาท นั่นหมายความว่าเราจะต้องมีเงินในกองทุน SCBDV 60,000/8% = 750,000 บาท
หากตีกลมๆ ว่าเราทำการออมเงิน DCA เดือนละ 3,000 บาทในกองทุนนี้ก็หมายความว่าจะใช้เวลา 750,000 / 3,000 คือ 250 เดือน หรือประมาณ 20 ปีนั้นเอง
แต่จริงๆแล้วในระหว่างทางนั้นกองทุนก็มีการปันผลออกมาซึ่งเราก็สามารถนำเงินกลับไปลงทุนได้เพิ่มเติมรวมถึงมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆก็น่าจะมีโบนัสที่ออกมาในแต่ละปีก็สามารถนำมาลงทุนเพิ่มได้ก็จะทำให้เราสามารถสร้าง Passive Income ได้เร็วขึ้นนะครับ
3.การทำเว็บไซต์ให้พื้นที่เช่าโฆษณา
สำหรับคนที่มีความสามารถในการทำเว็บไซต์ ก็สามารถสร้าง Passive Income จากการให้เช่าพื้นที่โฆษณาได้ โดยระบบที่นิยมกันทั่วโลกก็คือ Google Adsense ซึ่งหมายถึง Google จะมาเช่าพื้นที่โฆษณาของเว็บไซต์เรา เพื่อเผยแพร่โฆษณาแบนเนอร์ต่างๆ เมื่อมีคนมาคลิกโฆษณานั้น ก็จะแบ่งรายได้ให้กับเจ้าของตามจำนวนคลิก ซึ่งสามารถอ่านกฎเกณฑ์ต่างๆว่าต้องมีคนคลิกขั้นต่ำเท่าไหร่ถึงจะสามารถโอนเงินได้ ตามกฎเกณฑ์ของทาง Google นะครับ
ข้อดีของการหาเงินผ่านเว็บไซต์
- ลงทุนต่ำมากๆ ใช้เงินหลักพันถึงหลักหมื่นนิดๆ ถ้าหากไม่ประสบความสำเร็จก็เสียแค่เวลา แต่คุณก็จะได้รับประสบการณ์ตามมา
- คุณสามารถปรับเปลี่ยนเนื้อหาตามใจว่าอยากจะเขียนคอนเทนต์ไปแนวไหนที่คุณอยากจะเขียน อยากจะขยันอยากจะพักเมื่อไหร่ก็ได้
- สามารถแตกไลน์ธุรกิจเพิ่มเติมได้เช่นคุณอาจผูกไปขายคอร์สออนไลน์ ไปขาย product อื่นๆคุณมีสามารถนำมาลงเว็บไซต์ได้
- เว็บไซต์เป็นทรัพย์สินของคุณในระยะยาวไม่เหมือนกับสื่อโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook YouTube tiktok ที่วันดีคืนดีคุณอาจโดนลดการมองเห็น หรืออาจจะโดนปิดได้แบบไม่รู้ตัว
อุปสรรคของการหาเงินผ่านเว็บไซต์ออนไลน์
- ใช้ความอดทนค่อนข้างมากในการเขียนคอนเทนต์ SEO (SEO คือ search engine optimization คุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้นะครับ) หากเล่าง่ายๆการทำ SEO คือการทำให้ Content ของเราติดอันดับหน้าแรกๆบน Google เวลามีคน Search หาข้อมูลจะได้ Landing Page มาสู่เว็บไซต์เรา เมื่อมี Traffic คนเข้าเว็บไซต์เรามากๆก็มีโอกาสที่จะมากดโฆษณา Google Adsense บนเว็บเราซึ่งสามารถสร้างรายได้นั่นเอง
นอกจากนี้ในการเขียนคอนเทนต์เราจะต้องมีความรู้ที่เข้าใจถึงแก่นลึกในสิ่งที่เขียนจริงๆ เพราะการเขียน SEO นั้น ต้องเป็นคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ มีปริมาณคำค่อนข้างเยอะ และต้องเขียน Keyword ให้ถูกหลักการถึงจะสามารถติดหน้าแรกบน Google ได้
- ใช้เวลานานกว่าจะติดหน้าแรกๆของ Google ได้ หลังจากที่คุณเขียนคอนเทนต์คุณภาพ SEO ขึ้นมาแล้ว ก็ต้องรอให้เว็บไซต์ของคุณถูกจัดอันดับบน Google ซึ่งจะใช้ระยะเวลามากกว่า 6 เดือน ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าเว็บไซต์ของคุณก็อาจจะไม่ติดก็ได้ใช่ไหมครับ ดังนั้นคุณจำเป็นต้องมีความอดทนที่ต้องเขียนคอนเทนต์ ให้มากและรอเวลานั่นเอง
ซึ่งจริงๆแล้วหากมองว่าการใช้เวลานานที่จะติดอันดับหน้าแรกของ Google ได้เป็นข้อดีก็ได้นะครับเพราะมันก็เหมือนกำแพงที่ป้องกัน (Barrier to entry)ไม่ให้คนอื่นมาแย่งชิง Traffic ของเราไปในระยะยาวหากเราทำ Keyword ได้ดีแล้วในบทความนั้นๆ
ดังนั้นผมอยากให้มองว่าการสร้างเว็บไซต์นั้นเหมือนกับเป็นการปลูกต้นแอปเปิ้ลครับ เราต้องแบ่งเวลาทุกๆวันมารดน้ำพรวนดินให้กับมันในช่วงแรกๆ ซึ่งในตอนแรกมันก็คงยังไม่ออกผลแอปเปิ้ลให้เรากิน ซึ่งเราก็ต้องใช้ระยะเวลา 1 ปีถึง 2 ปีมันถึงจะเริ่มออกผลมาให้เรารับประทานได้และที่สำคัญคือมันสามารถออกผลออกมาให้เรารับประทานได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตครับ
สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ : การติด google adsense การเปิดสร้างรายได้ จากการเขียน ติดโฆษณา Google Adsense (สำหรับมือใหม่) ได้ที่ลิงค์นี้ครับ
4.Youtuber
สำหรับการสร้างรายได้ผ่านช่องทางยูทูปนั้นมีได้หลายวิธีเหมือนกันครับ เช่น
- รายได้จากการโฆษณาแบบอัตโนมัติ
- รายได้จากการสปอนเซอร์สินค้า (มีคนมาจ้างคุณให้เล่าถึงสินค้าของเขาในช่องของคุณ)
- รายได้จากการโปรโมทสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของคุณเอง เช่น คอร์สเรียนออนไลน์, อาหารเสริม, อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ
- รายได้จากการระดมทุนจากแฟนคลับของคุณเอง (เมื่อช่องคนมีแฟนคลับที่ติดตามอย่างเหนียวแน่นแล้ว อาจสามารถขอระดมทุนเพื่อทำคลิปวีดีโอใหม่ๆขึ้นมาได้)
นี่เป็นตัวอย่างเบื้องต้นให้เห็นภาพนะครับ ว่ารายได้ของ Youtuber นั้นมาจากไหน แต่เนื่องจากบทความนี้เป็นบทความเกี่ยวกับ Passive Income เพราะฉะนั้นผมจะเน้นไปถึงรายได้ที่มาจากการโฆษณาแบบอัตโนมัติของทาง YouTube นะครับ
ตัวอย่างนี้ พอผมดูช่องเกี่ยวกับฟุตบอลก็มีการตัดเข้าสู่โฆษณาขายคอนโดเอกมัย
ตัวอย่างนี้ พอผมดูรีวิวเกม Rockman x4 ก็มีโฆษณาแบนเนอร์ Food Panda ขึ้นมา
นี่เป็นตัวอย่างเบื้องต้นสำหรับการโฆษณาผ่านช่องทาง YouTube นะครับและแน่นอนเมื่อมีคนดูหรือทำการคลิกแบนเนอร์โฆษณา เราก็จะได้รายได้
สำหรับการโฆษณาผ่าน YouTube นั้นข้อดีของมันก็คือเป็น Passive Income แบบ 100% ครับ แล้วเมื่อไหร่ได้ของคุณถึงเกณฑ์เมื่อไหร่เงินก็จะถูกโอนเข้าบัญชีของเรานั่นเอง
แต่ถ้าเราทำการเปรียบเทียบรายได้จากการโฆษณา กับรายได้จาก YouTube แบบอื่นเช่น การรับสปอนเซอร์สินค้าจากผู้อื่นโดยตรง หรือการขายสินค้าผลิตภัณฑ์ของเราเอง ก็คงจะสู้ไม่ได้อย่างแน่นอนครับ แต่อยากให้มองว่า เมื่อคุณทำวีดีโอคุณภาพออกมาอันนึง คุณเสียเวลาทำมันเพียงครั้งเดียวแต่คุณมีโอกาสได้รับรายได้ จากวีดีโอนั้นเรื่อยๆ
ซึ่งมันเหมาะกับพนักงานประจำครับ ที่สามารถแบ่งเวลาหลังจากทำงานประจำออกมาทำช่องยูทูปของตัวเอง อย่างน้อยก็เป็นการฝึกทำวีดีโอ การสร้างตัวตนในโลกออนไลน์ เมื่อทำไปสักพักหากเข้าเงื่อนไขที่ทาง YouTube สามารถเปิดให้สร้างรายได้ได้แล้วคุณก็สามารถหารายได้ให้คนอื่นมาโฆษณาผ่านช่องของคุณได้นั่นเอง และในอนาคตคุณก็สามารถแตกไลน์ธุรกิจของคุณไปขายสินค้าเพิ่มเติมที่คุณมีได้ เพราะการขายของผ่านวีดีโอนั้นจะทำให้ลูกค้าที่เข้ามาดูรู้สึกถึงความน่าไว้วางใจ น่าเชื่อถือ และสามารถปิดการขายได้ง่ายกว่าช่องทางแบบอื่นครับ
อยากเปิดสร้างรายได้ผ่านการโฆษณาเงื่อนไขทาง YouTube เป็นอย่างไร
ก่อนที่คุณจะสามารถเปิดสร้างรายได้โฆษณาได้ ช่องของคุณต้องผ่าน 2 เงื่อนไขนี้คือ
- มีผู้ติดตาม (subscribers) อย่างน้อย 1,000 คน
- ในระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา (หรือน้อยกว่า) ช่องคุณต้องมี “จำนวนชั่วโมง (watch hours)” ที่คนดูวิดีโอคุณรวมกัน ไม่น้อยกว่า 4,000 ชั่วโมง
ปัจจัยที่ทำให้เกิดรายได้โฆษณาจากทาง youtube
ช่องแตกต่างกันและแตกต่างกันรายได้ต่อ 1 ล้านวิวก็แตกต่างเหมือนกันครับ หรือแม้แต่ช่องเดียวกันในแต่ละวีดีโอรายได้ก็ไม่เท่ากันเช่นกัน ซึ่งคุณสามารถไปดูตามรีวิวต่างๆของเพจที่มาเปิดสร้างรายได้ของช่องตัวเองให้ดูนะครับ ซึ่งผมจะเล่าให้ฟังคร่าวๆนะครับก็คือ 1 ล้านวิวส่วนใหญ่แล้วจะได้รายได้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5,000 – 20,000 บาท โดยปัจจัยหลักๆที่ทำให้เกิดรายได้แตกต่างกันคือ
- ความยาวของวีดีโอ ยิ่งวีดีโอมีความยาวมากเท่าไหร่ ก็สามารถที่จะแสดงเนื้อหาโฆษณาได้มากขึ้นเท่านั้น ลองสังเกตนะครับสำหรับวีดีโอสั้นๆที่ไม่ถึง 10 นาทีโฆษณาจะขึ้นมาเฉพาะตอนที่เราเริ่มดูหรือหลังดูจบคลิปเท่านั้น แต่สำหรับคลิปวีดีโอที่มีความยาวมากกว่า 10 นาทีจะมีโฆษณาคั่นกลางด้วย ดังนั้นยูทูปเบอร์ส่วนใหญ่จึงมักจะสร้างคลิปวีดีโอที่มีความยาวมากกว่า 10 นาทีครับ เนื่องจากคลิปวีดีโอที่ยาวมากๆก็จะทำให้เกิดการสร้างรายได้เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวไปด้วย
- เนื้อหาของวิดีโอ วีดีโอที่มีเนื้อหาเฉพาะทาง เช่นการเงิน, การลงทุนในหุ้น, การสร้างรายได้, การศึกษา งั้นจะได้อัตราค่าโฆษณามากกว่าวีดีโอทั่วไป
- ประเทศที่เข้าชม ถ้าคนที่มาชมนั้นมีศักยภาพ มีรายได้ ค่าเงิน มีกำลังซื้อ เช่น อเมริกาจะทำให้อัตราการค่าโฆษณาสูงขึ้น
- อายุของผู้เข้าชม หลักการนี้ก็เหมือนกันครับก็คือคิดจากความสามารถในการซื้อ ช่องผู้ชมที่คนส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงานก็จะได้อัตราค่าโฆษณามากกว่าช่องที่ผู้คนส่วนใหญ่เป็นเด็กหรือวัยรุ่นนั่นเอง
สิ่งที่ควรระวังคือการละเมิดลิขสิทธิ์
YouTube นั้นจะมีเครื่องมือที่ไว้ใช้สำหรับตรวจวีดีโอที่ถูก Copy ครับ นั่นคือ Copyright Match Tool ซึ่งเครื่องมือตัวนี้นั้นดีมากครับเพราะไม่ว่า คนที่ก็อบจะนำวีดีโอนั้นไปทำอย่างไรก็สามารถตรวจได้เช่นมีการย่อขนาดรูปภาพวีดีโอลงมาใส่กรอบ, เปลี่ยนเสียงบรรยาย, กลับรูปภาพซ้ายเป็นขวา เส้นถ้าคุณไปก๊อปวีดีโอจากช่องอื่นมาจะโดนรายงานจากทาง youtube ให้ลบวีดีโอนั้นทิ้งครับ โดยเฉพาะของคุณจะโดนเตือนก่อนใน 2 ครั้งแรกและครั้งที่ 3 อาจจะถูกปิดได้ (โดนรายงาน 3 ครั้งภายในระยะเวลา 90 วัน)
เมื่อคุณได้พบการรายงานว่าละเมิดลิขสิทธิ์สามารถทำได้ 2 แบบครับคือ
- แจ้งให้ทาง YouTube ลบคลิปวีดีโอนั้นออก อันนี้แจ้งไปครับถ้าพบเจอทีที่ๆก็มีโอกาสที่สถานะช่องของคุณจะโดนปิดได้
- ทำการอ้างลิขสิทธิ์หรือพูดง่ายๆก็คือ ยึดค่าโฆษณาที่ได้ในคลิปวีดีโอของคุณเข้าสู่เจ้าของลิขสิทธิ์ทั้งหมดในวีดีโอนั้นๆ สถานะช่องของคุณจะไม่เสียหายอะไรเพียงแค่จะไม่ได้รายได้จากการโฆษณาเท่านั้นเอง (กล้องที่ Cover เพลงโดนบ่อยครับแบบนี้)
นี่เป็นตัวอย่างที่เล่าให้ฟังนะครับว่าการละเมิดลิขสิทธิ์นั้นเป็นอย่างไรบ้างเพราะฉะนั้นแนวทางในการทำวีดีโอ อย่าเอา รูปภาพ คลิป เสียง เพลง ที่ไม่ใช่ของคุณมาใส่ในช่องของคุณ ยกเว้นแต่ถ้าได้รับอนุญาตให้ใช้คอนเทนต์หรือสื่อนั้นๆจากเจ้าของลิขสิทธิ์ เช่น ถ้าคุณได้ซื้อรูปภาพ https://www.istockphoto.com/ เพื่อมาใส่ในวีดีโอ หรืออีกวิธีก็คือพยายามใช้สื่อที่ไม่ติดลิขสิทธิ์ก็ได้ครับสามารถหาโหลดได้
นอกจากนี้สำหรับช่องที่รีวิวหนัง ที่เปิดโชว์คลิปสั้นๆ จากหนังโดยไม่ได้นำมาลงทั้งเรื่องแบบนี้ทาง YouTube ก็ไม่ได้มองว่าละเมิดลิขสิทธิ์นะครับสามารถไปอ่านได้ในรายละเอียดของทาง youtube ได้
การรับเงินจากช่องทาง youtube
ในตอนที่คุณเปิดสร้างรายได้กับทาง YouTube จะมีขั้นตอนที่ให้คุณสร้าง Google adsense ด้วย ซึ่งคุณจะสามารถ ลงทะเบียนว่าให้โอนเงินไปที่ธนาคารที่ไหนได้จากขั้นตอนนี้ และจะมีวิธียืนยันตัวตน ซึ่งเมื่อยืนยันตัวตนแล้วเมื่อรายได้ของคุณถึงเกณฑ์ที่ YouTube กำหนด (ขั้นต่ำคือ $100) YouTube ก็จะทำการโอนเงินให้คุณโดยอัตโนมัติโดยปกติจะเป็นรอบประมาณกลางเดือน
5.Affiliate Marketing
สำหรับ Affiliate Marketing คือการตลาดแบบนายหน้าโดยการแนะนำสินค้าให้ผู้อื่นมาซื้อครับ ซึ่งถ้าหากคนที่ถูกเราแนะนำไปซื้อสินค้าชิ้นนั้นได้ทำการซื้อแล้ว เราก็จะได้โบนัสค่าคอมมิชชั่นจากการขายนั้นด้วย ซึ่งข้อดีของมันถือว่าเป็นการขายสินค้าโดยที่เราไม่ต้องลงทุนสต๊อกสินค้า ไม่ต้องจัดส่งสินค้า ไม่ต้องบริการหลังการขาย และมันถือว่าเป็น Passive Income อีกช่องทางหนึ่งด้วยครับ
สำหรับมือใหม่ที่สนใจทำ Affiliate Marketing
สำหรับหลักการเริ่มต้นสำหรับมือใหม่ก็คือคุณต้องสมัครทำ Affiliate กับเว็บไซต์ที่ให้บริการซึ่งมีหลากหลายมากมายนะครับ แต่ที่ผมอยากจะแนะนำ คือ Accesstrade เพราะเขาได้โฆษณาเป็น Affiliate Marketing Network ที่ใหญ่ที่สุดในไทย เปิดมานานแล้วแล้วก็ยังไม่มีข่าวเสียหาย สามารถคาดหวังได้ว่าบริษัทนี้จะอยู่ไปอีกยาวนาน มีความน่าเชื่อถือ (ผมเชื่อว่าคนที่ต้องการ Passive Income ก็คงต้องการบริษัทที่มั่นคงสามารถอยู่กับเราไปได้อย่างยาวนานถูกไหมครับ) และสำหรับ Accesstrade นี้ ก็มีหลายผลิตภัณฑ์ที่เราสามารถไปแนะนำได้ และในผลิตภัณฑ์แต่ละอย่างก็จะมีผลตอบแทนแตกต่างกัน ถ้าหาก เป็นผลิตภัณฑ์พวก ประกัน สินเชื่อ อาหารเสริม จะได้ค่าคอมมิชชั่นมากกว่า สามารถสมัครได้ที่นี่ครับ
คราวนี้เมื่อเราสมัครแล้ว เมื่อเลือกผลิตภัณฑ์ที่เราต้องการจะโปรโมทแล้ว ก็นำลิงค์นั้นมาใส่ในช่องทางที่เราสามารถโปรโมทได้ สามารถเป็น Website ของเราที่เป็นบล็อก, YouTube ,Facebook ,Tiktok ,Instagram ที่ทำให้คนมาเห็นแล้วสามารถกดคลิกลิงค์ผลิตภัณฑ์ที่เราโปรโมทไปสู่ช่องทางการซื้อของผลิตภัณฑ์นั้นให้ได้
เทคนิคการหารายได้ผ่าน Affiliate Marketing
หลักการทำ Affiliate Marketing ก็คือทำยังไงก็ได้ให้คนมาเห็นสิ่งที่เราแนะนำและทำให้เขาไปซื้อสินค้าที่เราแนะนำนั่นเอง
1.ทำให้คนมาเห็นโพสต์ของเราให้เยอะ
สำหรับช่องทาง Website ก็แนะนำให้ทำการรีวิวสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์เราให้มาก เช่นคุณต้องการที่จะขายผลิตภัณฑ์ A คนก็ต้องเริ่มวางแผนเรื่อง SEO แล้วครับว่า เราสามารถใช้ keyword คำไหนที่สามารถดึงลูกค้าเข้ามาสู่บทความของเราและเข้าไปสู่ Affiliate Marketing ได้ และแน่นอนครับเมื่อคุณทำการเขียนบทความหลายๆบทความหลายๆ keyword และถูกหลัก SEO ก็สามารถดึงลูกค้าที่ทำการ search ใน Google มาจบเป็น affiliate Marketing และสามารถสร้าง Passive Income ให้คุณได้ในระยะยาว
นอกจากเรื่อง keyword แล้วการรีวิวสินค้านั้นโดยตรงก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีครับ และการรีวิวที่จะให้เหนือคนอื่นนั้นคือต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่คุณได้ทดลองใช้จริงด้วยตัวเองแล้ว เพราะคนอ่านรีวิวของคุณเขาจะสามารถสัมผัสได้ครับว่าคุณได้เคยใช้จริงหรือเปล่าหรือว่าไปก็อบมาจากบทความอื่น จากนั้นคุณต้องเข้าใจสินค้านั้นอย่างละเอียดว่าเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายใครกันแน่
สำหรับในช่องทาง YouTube ก็เช่นกันครับ ถ้าหากคุณได้มีการแกะของนั้นมาโชว์และได้ทำการทดลองให้ลูกค้าเห็นในคลิปเลยก็สามารถที่จะเพิ่มความน่าเชื่อถือและลูกค้าก็อยากจะซื้อสินค้าของคุณนั่นเอง
สำหรับช่องทาง Facebook ก็มีวิธีการทำรีวิวเหมือนกันและที่พิเศษก็คือสามารถไปคอมเม้นต์ใต้ภาพ ตามเพจดังๆ หรือสามารถไปฝากร้านในกรุ๊ปก็ได้ (แต่เนื่องจาก Facebook นั้นเป็นสื่อโซเชียลมีเดียที่มีอายุของบทความค่อนข้างสั้น 4-5 ชั่วโมงก็จะมีคนเข้าถึงน้อยลงมาอย่างชัดเจนและอยู่ได้ไม่นาน ผมจะไม่ค่อยชอบวิธีนี้ครับ แนะนำว่าถ้าทำ Content ใน Facebook ให้ทำลงในเว็บไซต์ของเราด้วยหรือทำลงใน YouTube ของเราด้วยประกอบกันครับ)
สำหรับสื่อออนไลน์แบบอื่นๆ ก็มีวิธีการทำเหมือนกันนะครับผมคงไม่ได้กล่าวทั้งหมดเพราะไม่งั้นบทความมันจะยาวเกินไป
2.การแนะนำสินค้าจนคนเข้าไปสู่ช่องทางที่มีแนวโน้มการปิดการขายได้มากขึ้น
เคยมีงานวิจัยนะครับว่าสำหรับเว็บไซต์ที่เป็นเว็บขายของธรรมดาหากมีคน 100 คนเข้าไปดูสินค้าในเว็บไซต์จะมีโอกาสซื้อสินค้า 1-2 เปอร์เซ็นต์
แต่ถ้าหากเป็นเว็บขายของเจ้าใหญ่ๆเช่น Amazon, Lazada, shopee อาจมีคนเข้าเว็บไซต์ 100 คน จะมีโอกาสที่จะปิดการขายได้ 5-10 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ซึ่งหมายความว่าเว็บไซต์เหล่านี้สามารถช่วยเราทำ Affiliate Marketing ได้อีกระดับหนึ่ง ส่วนหนึ่งเป็นไปได้ว่าลูกค้าที่เข้ามาดูสินค้าแล้วมาสั่งของผ่านแพลตฟอร์มเว็บขายเจ้าใหญ่ๆนี้เลยมีความมั่นใจเพราะเคยสั่งซื้อสินค้าอื่นๆในช่องทางนี้มาก่อนจึงทำให้สามารถกล้าซื้อ และปิดการขายได้ง่ายขึ้น
จริงๆแล้วหลักการทำ Affiliate มีอยู่แค่นี้เองครับ และอย่างที่ผมเคยเกริ่นไปตั้งแต่แรกครับหากคุณค่อยๆทำ website blog ,youtube สื่อโซเชียลมีเดียอื่นๆ จนเริ่มมีตัวตนในโลกออนไลน์ก็ถือว่าเป็น influencer ในระดับหนึ่ง ทำให้มีฐานแฟนคลับที่ติดตามคุณมากขึ้น พูดง่ายๆก็คือมีกลุ่มลูกค้าที่สนใจในสิ่งที่คุณทำมากขึ้น ซึ่งจะทำให้สามารถทำ Affiliate ได้ง่ายขึ้น และหากดังก็จะมีเจ้าใหญ่ๆเข้ามาเสนอให้คุณทำ Affiliate เองเลย แต่ในตอนแรกๆ เราสามารถใช้ระบบ Affiliate ที่ผมแนะนำมาในการเริ่มต้นได้
6.เขียน E-Book
เราทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วนะครับว่าค่าลิขสิทธิ์จากการขายหนังสือนั้นก็ถือว่าเป็น Passive Income เหมือนกันเมื่อมีคนมาซื้อหนังสือของเราเงินก็จะเข้าบัญชีเราโดยอัตโนมัติ และในยุคศตวรรษที่ 20 นี้ต้องบอกว่าสะดวกมากๆเพราะเราเข้าสู่ยุคอินเตอร์เน็ตซึ่งสามารถสร้าง Passive Income ได้ง่ายกว่าสมัยก่อนมากๆ ในสมัยก่อนนั้นกว่าจะออกผลงานมาเป็นหนังสือเล่มหนึ่งได้ต้องผ่านบรรณาธิการ ผ่านสำนักพิมพ์ซึ่งเขาก็จะดูประวัติของเรา ดูผลงานการเขียนของเราว่าดีไหม เมื่อตีพิมพ์ออกมาก็มีต้นทุนในระดับหนึ่งแล้วจากนั้นต้องไปฝากร้านหนังสือต่างๆเพื่อรับไปขายและก็ยังไม่รู้ว่าจะขายได้หรือไม่ ซึ่งหมายความว่าก็ไม่รู้ว่าจะคืนทุนจนถึงจุดได้กำไรหรือเปล่า พอเห็นภาพใช่ไหมครับว่าสมัยก่อนนั้นหินขนาดไหน
แต่ในสมัยนี้ต้องบอกว่าใครๆก็สามารถสร้างหนังสือขึ้นมาขายได้ครับโดยผ่านวิธีการเขียน E-Book ซึ่งเพียงแค่คุณมีคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง, ความรู้ในสิ่งที่คุณเขียน และมีเวลา เราก็สามารถสร้างผลงานขึ้นมาเอง ตรวจทานเองแล้ว ก็สามารถนำผลงานไปขายผ่านช่องทางหลากหลายช่องทางผ่าน แพลตฟอร์มเว็บไซต์โดยเป็นการขาย E-Book นั่นเอง
ต้องบอกว่าถึงแม้จะมีข้อดีคนข้างเยอะ แต่มันก็จะมีข้อเสียตามมาด้วยครับก็เนื่องจากว่าการสร้าง e-book ในสมัยนี้เนี่ยมันสามารถทำได้ง่ายขึ้นมาก ดังนั้นก็จะมีคู่แข่งที่ตามมาค่อนข้างเยอะ (Barrier to entry ต่ำ) แต่ยังไงมันก็น่าสนใจที่น่าจะลงมือทำถูกไหมครับเพราะอย่างมากก็แค่เสียเวลาวันละ 1-2 ชั่วโมงแต่เราไม่ต้องใช้เงินลงทุน แถมการลงมือทำเหล่านี้จะทำให้เราเก่งขึ้นและสามารถหารายได้ได้เพิ่มขึ้นรายได้ในอนาคตอีกด้วยนะครับ โดยเดี๋ยวผมจะเล่าเทคนิคให้ฟังนะครับว่าจริงๆแล้วมันเป็นสิ่งที่ต่อยอด Passive Income จากทางอื่นมาสู่การขายหนังสือ E-Book และสามารถแตกไลน์ธุรกิจออกไปทำอย่างอื่นได้เพิ่มเติมอีกครับ
เทคนิคสำหรับการเขียนและขาย E-Book
เมื่อผมเล่าถึงภาพรวมของ E Book แล้วคราวนี้จะลงรายละเอียดถึงเทคนิคในการเขียนและขาย E-Book นะครับ
1.เข้าใจกันก่อนว่าทำไมลูกค้าถึงยอมซื้อ E-Book
หลายๆคนอาจจะคิดนะครับว่า ในเมื่อในปัจจุบันก็มี Google ให้เสิร์ชหาข้อมูลฟรีๆ แล้วทำไมพวกเขาจะต้องมาซื้อ E-Book ของคุณด้วยล่ะ? ซึ่งก็ต้องตอบว่ามีกลุ่มลูกค้าบางส่วนครับที่ยอมเสียเวลาที่จะศึกษาหาข้อมูลผ่านทางอินเตอร์เน็ตและไม่ยอมซื้อหนังสือหรือ E-Book และแน่นอนครับพวกเขาก็จะต้องใช้เวลานานหลายวันหรือบางทีเป็นระดับอาทิตย์ซึ่งความรู้ในแต่ละบล็อกก็อาจจะตอบโจทย์ได้ในระดับหนึ่งแต่คงจะไม่ทั้งหมด
และแน่นอนครับก็จะมีกลุ่มลูกค้าอีกบางส่วนที่ไม่ต้องการที่จะเสียเวลา แค่เงินหลักร้อยเขายอมที่จะจ่ายซื้อ E-Book แทนที่จะต้องมานั่งเสียเวลารวบรวมข้อมูลที่กระจัดกระจายอยู่บน Google อยู่บนเว็บไซต์ หลายๆอาทิตย์ ดังนั้นคุณค่าของ E-Book ก็คือ เมื่อลูกค้าเหล่านั้นได้อ่านจบสามารถเอาความรู้ในอีบุ๊คไปใช้ได้ทันทีเพราะทางผู้เขียนได้มีการรวบรวมองค์ความรู้ไว้ทั้งหมดแล้ว
ผมยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆนะครับ อย่างตัวผมเองต้องการที่จะหาความรู้ในเรื่องของอสังหาริมทรัพย์ แบบละเอียด ผมก็คงจะ Search Google แค่ในระดับหนึ่งแต่มันก็ยังไม่สุด และสุดท้ายผมก็จะเลือกซื้อหนังสือตามร้านหนังสือ และหาซื้อ E-Book ผ่านคนที่น่าเชื่อถือถูกไหมครับ
อย่างที่ผมซื้อ E-Book จากอาจารย์ อนุชา กุลวิสุทธิ์ เพราะผมรู้สึกถึงความน่าเชื่อถือของเขาและรู้สึกว่าเขารู้จริงในเรื่องอสังหาริมทรัพย์ แล้วผมเสียเงินเพียงไม่กี่ร้อยหรือไม่กี่พันสามารถประหยัดเวลาผมไปได้ค่อนข้างเยอะมาก สามารถนำความรู้เหล่านั้นไปใช้ได้เลย
2.ความรู้นั้นมีความล้าสมัยทำให้เราสามารถมีโอกาสการขาย E-Book ได้เรื่อยๆ
ถ้าจะพูดให้เห็นภาพง่ายๆนะครับ ผมจะพูดถึง E-Book การยิงแอดออนไลน์ Facebook ให้ปัง ละกัน หากคุณได้ซื้อวิธีการยิงแอดออนไลน์ Facebook ปี 2016 ในขณะนั้นอาจจะเป็น E Book ที่สามารถขายได้ดีเป็นอันดับ 1 เลยก็ตามแต่เมื่อผ่านมาปี 2021 คนใหม่ๆก็คงไม่มาซื้อ E-Book การยิงแอดออนไลน์ Facebook ให้ปัง ในตอน 2016 ถูกไหมครับ เพราะแน่นอนครับในทุกๆปี Facebook ก็มีการปรับเปลี่ยนพัฒนาตัวเองในเรื่องของอัลกอริทึม ,เครื่องมือยิงแอดใหม่ๆ ,เครื่องมือการวิเคราะห์ใหม่ๆ รวมถึงสถานการณ์คู่แข่งในการยิงแอดแต่ละปีก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้นมันจะเป็นโอกาสที่ทำให้คนแต่ง ebook นั้นสามารถปรับปรุงเนื้อหา ให้ทันสมัย และแน่นอนครับถ้าคุณมีฐานลูกค้าอยู่ แล้วเขาติดตามผลงานของคุณ คุณก็มีโอกาสที่จะสามารถสร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง
จุดนี้เป็นจุดที่เป็นข้อดีอีกอย่างหนึ่งครับ คือเหนือกว่าหนังสือที่เป็นเล่มจริงๆเพราะกว่าที่จะมีการเขียนข้อมูลอัพเดทออกมา เข้าสู่กระบวนการตีพิมพ์หนังสือ การส่งหนังสือไปให้ช่องทางต่างๆที่วางจำหน่าย ปรากฏว่าข้อมูลได้เปลี่ยนไปแล้ว หรือหากมีการวางขายแล้วขายไม่ออก ในปีถัดไปก็จะมีการลดราคา sale 50-60 เปอร์เซ็นต์ (ลองเดินไปดูร้านหนังสือนะครับจะมีหนังสือ ที่ล้าสมัย เช่น คู่มือการใช้ Microsoft Excel ปี 2016, การยิงแอด Facebook ปี 2017, คู่มือการใช้ iPhone 5 วางขายแบบลดราคากระหน่ำอยู่)
3.พยายามใช้ช่องทางต่างๆในการเผยแพร่ สร้างตัวตนเพื่อสร้างฐานลูกค้า
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่สำคัญมากครับ เพราะถึงแม้ว่าคุณจะมีผลงาน E-Book แต่ถ้าหากคุณไม่มีตัวตนบนโลกอินเทอร์เน็ตพูดง่ายๆคือไม่มีใครรู้จักคุณ ก็มีแนวโน้มที่จะขาย E-Book เล่มนั้นได้ไม่ค่อยดีครับ เพราะลูกค้ายังไม่รู้ถึงความสามารถหรือความเชี่ยวชาญของคุณ ดังนั้นคุณต้องค่อยๆทยอยทำ คอนเทนต์ที่คอยสอนหรือให้ความรู้ในสิ่งที่คุณสนใจอยู่อย่างต่อเนื่องครับ
และแน่นอนครับมันก็มีหลากหลายช่องทางที่สามารถจะเผยแพร่ข้อมูลสร้างตัวตนได้แต่ที่ผมอยากจะแนะนำหลักๆนะครับก็คือเว็บไซต์ หรือการสร้างบล็อกขึ้นมา มันอาจจะมีค่าใช้จ่ายในการจดโดเมนและการเช่าโฮส หรือคือการเช่าพื้นบนอินเทอร์เน็ต (ก็ตกปีละประมาณพันกว่าบาท) ซึ่งในระยะยาวผมถือว่ามันคุ้มค่ามากๆนะครับเพราะเว็บไซต์นั้นเป็นทรัพย์สินของคุณ มันจะไม่มีวันหายไปไหนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากมาย และที่สำคัญมันเป็นที่เปรียบเสมือนเก็บองค์ความรู้ของคุณไว้ทั้งหมด
นอกจากนี้การเขียนบล็อกยังเป็นการฝึกการเล่าเรื่องเป็นขั้นเป็นตอน อธิบายในสิ่งที่คุณสนใจ เมื่อคุณเขียนหลายๆบล็อกหรือหลายๆบทความแล้วยังสามารถนำความรู้เหล่านี้มาเรียบเรียงเป็น E-Book เพื่อขายได้ในอนาคตอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีสื่อ Social อื่นๆที่สามารถทำได้เช่น Facebook แต่ผมไม่ค่อยแนะนำมากเท่าไหร่เพราะ Facebook ไม่ใช่ทรัพย์สินของเราโดยตรงเหมือนเป็นการไปพึ่งจมูกคนอื่นหายใจ ยกตัวอย่างเช่นหากเราทำเพจขึ้นมาและมีการเขียนบทความต่อเนื่อง แต่วันใดวันหนึ่งทาง Facebook เปลี่ยนอัลกอริทึมลดจำนวนผู้เข้าถึงเพจเราหรือวันดีคืนดีเพจเราอาจโดนปิดหรือปลิว ก็เป็นไปได้ และอีกเหตุผลหนึ่ง คืออายุบทความบน Facebook จะมีเวลา Prime Time ทำให้คนเห็นได้แค่ประมาณ 4-5 ชั่วโมงหลักๆ แต่พอผ่านไปหลายวันคนก็จะไม่เห็นบทความนั้นแล้วซึ่งต่างจากทางเว็บไซต์ที่เราสามารถทำ SEO แล้วติด Google หน้าแรกได้เมื่อระยะเวลาผ่านไปจะทำให้มี Traffic เข้าสู่เว็บไซต์ได้มากขึ้น
แต่อย่างไรก็ดีผมก็ยังแนะนำให้เขียนบล็อกในเว็บไซต์พร้อมกับทำการเขียนบล็อกผ่าน Facebook ไปด้วยเพราะเป็นการเพิ่มช่องทางทำให้คนอื่นเขาถึงได้มากขึ้นนั่นเอง
อีกช่องทางหนึ่งก็คือ YouTube ครับที่ผมอยากจะแนะนำ เพราะหลังจากที่คุณได้ทำการเขียนบทความออกมาผ่านตัวหนังสือคุณก็แค่เปลี่ยนวิธีการสื่อสารคือมาเล่าบทความนั้นๆผ่านกล้องแล้วทำการตัดต่อลงคลิปใน YouTube แค่นั้นเอง มีงานวิจัยออกมาหลายๆงานนะครับว่าสำหรับการขายของผ่านวีดีโอจะทำให้คนสนใจหรือสามารถปิดการขายได้มากกว่าผ่านตัวอักษร นอกจากนี้คนที่มาติดตามคุณก็จะรู้สึกผูกพันกับคุณมากขึ้นอีกด้วยครับ
นอกจากนี้ยังมีช่องทาง Social Media อื่นเช่น Twitter, Podcast, Tiktok, และในอนาคตก็น่าจะมีแพลตฟอร์มใหม่ๆขึ้นมาซึ่งสิ่งเหล่านี้เราก็สามารถไปทำการให้ความรู้ได้ครับแล้วก็ใส่ BackLink กลับเข้ามาสู่เว็บไซต์ที่เป็นแหล่งข้อมูลหลักของเรานั่นเอง จะได้เห็นผลงานอื่นๆแล้วทำให้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้นครับ
ซึ่งผมต้องบอกก่อนนะครับว่าการสร้างตัวตนนั้นไม่ได้สามารถสร้างได้ภายในอาทิตย์สองอาทิตย์แต่มันต้องใช้ระดับเป็นหลายๆเดือนหรือ หลายๆปีในการสร้าง (หากเปรียบในเรื่อง Marketing ก็เปรียบเหมือนกับการสร้างแบรนด์บริษัทซึ่งต้องทำให้ลูกค้าเห็นคุณอย่างน้อย 7 ครั้งขึ้นไปถึงจะยอมรับในตัวคุณ) สำหรับตัวผมเองมองว่าก็คงจะต้องใช้เวลาขั้นต่ำ 1 ปีขึ้นไปในการสร้างตัวตนขึ้นมา (ถ้าจะเห็นผลควรประมาณ 3 ปี ต้องบอกว่าผมทำงานประจำอื่นด้วยครับเลยใช้ได้แค่เวลาว่างมาทำในส่วนนี้แต่สำหรับคนที่มีเวลาเยอะอาจจะเร็วกว่านี้นะครับ)
ดังนั้นในเรื่องการสร้าง E-Book ผมแนะนำให้สร้างตัวตนในโลกอินเทอร์เน็ตควบคู่ไปด้วยครับ
4.เครื่องมือในการสร้าง E-Book
สำหรับในเครื่องมือการสร้าง E-Book ก็มีแค่เครื่องคอมพิวเตอร์และ Microsoft Word ในการจัดเรียง layout คอนเทนต์ แค่นั้นเองครับ อาจจะมีเพิ่มเติมในส่วนของเรื่องการทำหน้าปกอาจใช้ Photoshop หรือโปรแกรม canvas ก็ได้ ผมคงไม่ได้สอนนะครับว่า หลักการใช้ Microsoft Word การสร้างสารบัญ Heading1 ,Heading2 ,Title ,Subtitle ,การวางหน้า ,จัดขอบกระดาษอย่างไร ,ตัวอักษรควรจะเป็นฟอนต์ไหน ถึงจะสวย สามารถไป search ใน Google ได้นะครับ
5.การวางโครงสร้าง Outline ของ E-Book สำคัญมาก
สำหรับการเขียน E-Book นั้น ตั้งแต่แรก เป็นไปได้ยากมากครับที่คุณจะเขียนได้จบเรื่องแบบ ตรงประเด็น แล้วหนังสือมันก็จะวนเวียนไปวนเวียนมาออกนอกทะเลไปแล้วคุณจะล้มเลิกไปในที่สุด
ประโยชน์ของการวาง outline คือ
- ทำให้คุณสามารถเห็นโครงเรื่องทั้งหมดของหนังสือ E Book เล่มนี้
- ทำให้คุณสามารถโฟกัสจดจ่อที่จะเขียนเนื้อหาในแต่ละหัวข้อได้ตรงประเด็น
- หากคุณวางเอารายได้ทั้งหมดแล้วก็ต้องบอกว่าคุณแต่งหนังสือ E-Book จบไปครึ่งเล่มแล้วครับที่เหลือแค่ใส่รายละเอียด รูปภาพข้างในแค่นั้นเอง
ความหมายของ Outline ของผมนั้นคือ ละเอียดกว่าสารบัญนะครับ ตัวอย่างง่ายๆ เช่น ในบทความนี้หากผมต้องการไปแต่งเป็นหนังสือ E-Book เทคนิคการสร้าง Passive Income มนุษย์เงินเดือน ผมอาจจะแบ่งออกเป็นทั้งหมด 4 บทหลักๆ แต่นอกจากจะมีชื่อบทแล้วต้องมีชื่อหัวข้อแล้วรายละเอียดด้านในเบื้องต้นด้วยที่เราจะเขียน
- ปรับทัศนคติก่อน
- 1.1 เล่าเรื่องประวัติตัวเอง
- ตั้งแต่เด็กจนโต
- เริ่มทำงานบริษัทมั่นคง
- จุดเปลี่ยนชีวิต เศรษฐกิจตกต่ำถูกไล่ออกจากงาน
- หางานใหม่ได้
- เริ่มหาความรู้ทางการเงินมากขึ้น
- หารายได้ที่ 2-3 และสนใจในเรื่อง Passive Income
- 1.2 เข้าใจพื้นฐานความรู้ทางการเงิน
- ความแตกต่างระหว่าง Active Income และ Passive Income
- …
- …
- …
- 1.3…
- 1.4…
- 1.1 เล่าเรื่องประวัติตัวเอง
- 10 เทคนิคในการสร้าง Passive Income พร้อมยกตัวอย่าง
- 2.1…
- 2.2…
- 2.3…
- 2.4…
- ตัวอย่างของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ
- ….
- ลงมือทำ
- ….
อันนี้เป็นตัวอย่างคร่าวๆนะครับที่ผมเขียน Outline ขึ้นมา แล้วต้องบอกว่า ยิ่ง Outline คุณละเอียดมากเท่าไหร่ ตอนคุณเขียนคุณยิ่งสบายมากขึ้นเท่านั้นครับ
6.วางแผนกำหนด Timeline ในการเขียน E-Book ให้เสร็จสิ้น
หลังจากที่เราได้ทำการเขียน Outline ออกมาทั้งหมดแล้วนะครับ เราจะเริ่มเห็นโครงสร้างว่าในแต่ละบท มีหัวข้อที่ต้องเขียนทั้งหมดประมาณเท่าไหร่จากนั้นให้เราทำการกำหนด Timeline ว่าในแต่ละหัวข้อเราจะต้องเสร็จวันไหน การทำแบบนี้เป็นข้อดีครับเพราะจะเป็นการสร้างระบบให้ตัวเองและพยายามผลักดันให้ทำตามแผนทำให้เสร็จสิ้นทันเวลาที่กำหนด
ดีกว่าที่เราจะมารอเวลาให้ตัวเองว่างแล้วค่อยแบ่งเวลามาเขียนซึ่งการทำแบบนี้จะทำให้สร้าง E-Book เสร็จได้ช้ามากๆครับ หรือบางทีอาจจะล้มเลิกไปกลางทางก็ได้ เพราะเขียนเท่าไหร่ก็ไม่เสร็จสักที
นอกจากนี้การที่เราเสร็จตาม Timeline ที่เรากำหนดยังเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้เรารู้สึกดีและมีพลังในการเขียนต่อเนื่องไปจนเสร็จครับ
7.โบนัสพิเศษ แถมพิเศษ ส่วนลดพิเศษ
โดยปกติคนไทยชอบของแถมครับ เมื่อคุณขายหนังสือ E-Book เล่มหนึ่งแล้วคุณแถมโบนัสอื่นๆพิเศษอีกเล่ม 1 เช่น มันจะทำให้ E-Book ของคุณนั้นดูแล้วมีคุณค่ามากขึ้นไปอีกครับ โดยโบนัสพิเศษนี้อาจจะเป็น Audio-book, Podcast ที่คุณเคยได้อัดไว้ ลงในช่องทางอื่นๆแล้วมาจัดรวบรวมเป็น Set หรืออาจจะเป็น Mini E-Book ที่เป็นบทความต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ E-Book ที่จะขาย ,อาจจะเป็นส่วนลดพิเศษในการซื้อคอร์สอื่นๆที่คุณมีขายก็ได้ครับ ,หรืออาจจะเป็นการสมัครสมาชิกที่สามารถอ่านได้ต่อเนื่องตลอดชีวิตในกรุ๊ป
8.หน้าปกต้องดึงดูด
ผมเชื่อว่าหลายๆคน คิดว่าหน้าปกไม่มีความสำคัญแต่จริงๆแล้วมีความสำคัญมากๆ นะครับถึงแม้ว่าเนื้อหาข้างในจะน่าสนใจและดีแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าหน้าปกห่วย ก็ไม่มีคนซื้อครับ ดังนั้นการออกแบบหน้าปก ควรออกแบบให้โมเดิร์นตรงกับเทรนของกลุ่มลูกค้าที่คุณตั้งใจจะขายนั้นๆ จะใช้ Photoshop และในสมัยนี้ก็มีโปรแกรม canva.com ที่สามารถทำให้คุณออกแบบหน้าปกได้ง่ายขึ้นมาก
9.ช่องทางในการขาย E-Book
ที่จริงแล้วแพลตฟอร์มที่ช่วยนำเสนอขายช่องทางการขาย ebook นั้นมีค่อนข้างเยอะครับ เช่น
และอื่นๆอีกหลายที่นะครับ ซึ่งเราสามารถสมัครและส่งหนังสือ e-book ไปเมื่อมีการขายได้ก็จะมีการแบ่งค่าธรรมเนียมกับทางเจ้าของแพลตฟอร์มกับเรา ซึ่งกฎระเบียบขึ้นอยู่กับแต่ละเจ้าของแพลตฟอร์มนะครับ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในการนำ E-Book เราไปขายผ่านแพลตฟอร์มอื่นๆนั้นจะหวังผลไม่ค่อยได้เท่าไหร่ครับ เพราะด้วยอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มเหล่านี้ไม่ได้สนใจว่าจะต้องนำเสนอของใครเป็นพิเศษรวมถึงของคุณด้วย ดังนั้นมันเหมือนกับการเสี่ยงโชคครับที่รอให้ลูกค้าเข้ามาเจอบนเว็บแล้วบังเอิญมากดซื้อของคุณพอดี อีกถังในแต่ละปีก็จะมี ebook ใหม่ๆเข้ามาเพิ่มเติมมากขึ้นเรื่อยๆถ้าไม่อีบุกของคุณนั้นค่อยๆหายไป พูดง่ายๆก็คือมันเหมือนกับเป็นการไปยืมจมูกคนอื่นหายใจครับ
ดังนั้นผมจึง แนะนำว่าให้เราสร้างฐานลูกค้าของเราขึ้นมาเองดังที่ได้ยกตัวอย่างไปในข้อ 3 แล้วสุดท้ายให้เราสร้าง Sale Page ขึ้นมาไม่ว่าจะเป็น Sale Page ใน เว็บไซต์ของเรา, ใน Facebook ,Video YouTube ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราสามารถหวังผลได้มากกว่าแพลตฟอร์ม ของคนอื่นครับ
10.Sale Page ต้องมีรายละเอียดที่น่าสนใจ และมีประสิทธิภาพ
สำหรับ Sale Page ไม่ใช่แค่ใส่ผลงาน E-book ของคุณ หน้าปกสารบัญเข้าไปแล้วตั้งราคาขายก็จบนะครับ
แต่มันคือการสร้าง Story Telling เชิญชวนให้คนที่มาอ่านเพจนี้แล้วทำให้ปิดการขายซื้อหนังสือ E-Book ของคุณให้ได้ และต้องเข้าใจว่าลูกค้านั้น เขาไม่ได้ต้องการจะมาซื้อหนังสือ E-Book นะครับแต่เขาต้องการที่จะมองหาวิธีการแก้ปัญหาที่เขาเผชิญอยู่ตอนนี้ ดังนั้นผมจะบอก Pattern คร่าวๆให้ฟังนะครับว่าหน้า Sale Page ต้องมีอะไรบ้าง
10.1) ต้องมี Story telling ที่เข้าใจถึงปัญหาของลูกค้าที่เผชิญอยู่ตอนนี้
ถ้าหากผมอยากขายหนังสือ Passive Income บทความนี้ ผมก็ต้องเกริ่นก่อนว่าปัญหาที่ผมเผชิญอยู่ตอนสมัยที่ผมทำงานประจำเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้นช่างกดดันเหลือเกิน แล้วตัวผมเองก็มีหนี้จะรายจ่ายต่างๆมากมาย แล้วก็เริ่มสรุปครับว่าผมเข้าใจปัญหาที่ทุกคนพบเจออยู่
10.2) รายละเอียดสินค้า E-Book ของ
หลังจากที่คุณได้เกริ่นถึงปัญหาไปแล้วคุณก็เริ่มเข้าสู่ ประโยชน์ของ E-Book ของคุณ ครับว่าในเล่นนี้มีวิธีการแก้ปัญหาที่คุณได้พบเจออยู่ เป็นการกลั่นกรองจากประสบการณ์โดยตรงและการรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากทางผู้เขียนเอง (ซึ่งถ้าหากคุณมีบทความที่เป็นการสร้างตัวตนของคุณในเว็บไซต์หรือเพจอื่นๆจะทำให้สามารถปิดการขายตรงนี้ได้ดีมากๆครับ)
แล้วก็รายละเอียดสินค้าพื้นฐานเช่น ชื่อ E-Book, จำนวนหน้า, ขนาด, หน้าปก, สารบัญเบื้องต้น, และถ้าเป็นไปได้พยายามให้โหลด PDF 30 หน้าแรกไปทดลองอ่านได้เพราะเหมือนเป็นการ ฝากไฟล์ไว้ที่ Google Drive ให้ดาวน์โหลด
ถ้าให้ดีก็ควรมีวีดีโอในการพูดปิดการขายในหน้านี้ด้วยครับ และถ้ามีรีวิวของคนอ่านอื่นๆที่ได้อ่านไปแล้วก็สามารถแคปมาวางไว้ให้อ่านในที่นี้ด้วยก็ได้ครับ
10.3) การตั้งราคาขายและการโอนเงิน
สำหรับคนที่เริ่มต้นทำครั้งแรกก็สามารถที่จะให้โปรโมชั่นส่วนลดในช่วง 2-3 เดือนแรกได้ครับเช่นตั้งราคาไว้ทั้งหมด 300 บาทแต่ในช่วงพิเศษนี้ลดให้ เหลือ 250 บาทเป็นต้น และเมื่อถึงครบกำหนดเวลาค่อยปรับราคาเพิ่มขึ้นแล้วแถมโบนัส E Book เล่มอื่นเข้าไปก็ได้ครับ แล้วแต่โปรโมชั่นแต่ละคนที่จัดขึ้นมาเลย
สำหรับในเรื่องการโอนเงินก็จริงๆแล้วมีแพลตฟอร์มที่สามารถมาติดในเว็บไซต์เราเองในส่วนของหลังบ้านซึ่งอาจจะเป็นระบบบัตรเครดิตก็ได้ หรืออีกวิธีก็คือทำแบบ Manual เลยครับคือมีการเขียนเลขที่บัญชีของเราไว้ใน Sale Page เลยเมื่อมีการโอนก็ให้ส่งใบสลิปเข้ามาในทาง Line จากนั้นก็ขออีเมลของผู้ซื้อแล้วส่งของเราไปให้ครับ
ก็จบไปแล้วนะครับสำหรับเทคนิคเบื้องต้น ในการเริ่มทำ E-Book และต้องบอกว่าการทำ E-Book ก็ถือว่าเป็นการสร้าง Passive Income อีกทางหนึ่งซึ่งมนุษย์เงินเดือนสามารถทำได้ครับ แล้วอยากให้มี Mind Set ว่า ไม่ใช่เขียน E-Book เพียงเล่มเดียวแล้วจะทำให้คุณได้รายได้จากมันแล้วรวยไปตลอดชีวิตเลยนะครับ แต่อยากให้มองว่ามันจะเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่คุณสามารถสะสมเป็นคลังความรู้แล้วเมื่อคุณเขียน E Book เล่มอื่นก็สามารถนำเนื้อหา E-Book เล่มแรกมาขาย หรือพัฒนาต่อเพื่อให้ปิดการขายได้ในอนาคตได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญเมื่อคุณแต่ง E-Book เล่มแรกได้แล้วมันจะทำให้คุณแต่งเล่มต่อๆไปได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้นครับ ให้มองเป็นเกมระยะยาวนะครับ
7.ขายรูปออนไลน์
หากคุณเป็นคนที่มีใจรักในการถ่ายรูป และมีงานอดิเรกคือการรูปเป็นประจำอยู่แล้ว นอกจากที่งานนี้จะสร้างความสุขให้คุณแล้วยังสามารถแปลเปลี่ยนเป็นรายได้ Passive Income ทำได้อีกด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่าแค่ถ่ายรูปแบบไหนก็ได้แล้วนำไปลงขายแล้วจะมีคนมาซื้อรูปคุณนะครับ เพราะในเมื่อการขายรูปออนไลน์นั้นเป็นสิ่งที่ใครๆก็สามารถทำได้ แน่นอนครับก็จะมีคู่แข่งค่อนข้างเยอะด้วยและคุณต้องเข้าใจกับลูกค้าว่าทำไมเขาถึงจะต้องมาซื้อรูปภาพของคุณในเมื่อมีคู่แข่งที่เป็นระดับมืออาชีพอีกหลากหลายคน จากหลากหลายประเทศ ซึ่งเมื่อคุณเข้าใจหลักการทั้งหมดคุณก็จะสามารถขายได้อย่างต่อเนื่องครับ
เข้าใจลูกค้าที่เข้ามาซื้อรูปภาพกันก่อน
เล่าเห็นภาพง่ายๆนะครับ บริษัทในสมัยก่อนจะทำสื่อรูปภาพ วีดีโอโปรโมทสินค้า นั้นจะต้องมีการจ้างเอเจนซี่ คนถ่ายรูป การตัดต่อ ใส่กราฟฟิก ซึ่งแน่นอนครับกว่าจะออกมาเป็นรูปภาพ วีดีโอที่สามารถโปรโมทสินค้าของเขาได้นั้นต้องเสียต้นทุนไประดับหลายหมื่นบาท ถ้าหากไปจ้างช่างกล้องสมัครเล่น ที่ฝีมือธรรมดา อาจจะถูกลงหน่อยไม่กี่พันบาท แต่คุณภาพของรูปภาพนั้นก็แน่นอนครับก็ตามสภาพ และถ้าพูดกันตรงๆบางทีถ่ายกันเองน่าจะดีกว่า
แต่ในสมัยนี้นะครับต้องบอกว่ามีเทคโนโลยีโปรแกรมต่างๆที่ สามารถทำให้เราสร้างสื่อได้ง่ายขึ้นเยอะมากๆ เช่นโปรแกรม Adobe Photoshop แค่มีรูปภาพ คุณก็สามารถนำรีทัช ,ไดคัท ,ใส่ตัวอักษร ที่อยากจะโปรโมท เพียงไม่กี่นาทีก็เสร็จแล้ว และถ้าคุณอยากทำวีดีโอโปรโมท คุณก็มีเพียงแค่ Adobe Premiere Pro พร้อมอัดคลิปวีดีโอ สินค้าที่อยากจะรีวิว ไส่เสียง ใส่ effect เสียเวลาตัดต่อหน่อย ก็เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ
ที่ผมเล่าให้เห็นภาพแบบนี้เพราะจะได้เข้าใจนะครับว่า ในสมัยปัจจุบันสามารถลดต้นทุนในส่วนของ Production ไปได้ค่อนข้างเยอะมากๆ และสำหรับบริษัททางการค้าต่างๆ แทนที่เขาจะไปจ้างตั้งแต่ เอเจนซี่ คนถ่ายภาพ คนตัดต่อ แล้วก็จะนำมาโปรโมทขายสินค้านั้น เขาเลือกที่จะไปซื้อรูปภาพออนไลน์ หรือซื้อคลิปวีดีโอออนไลน์ แล้วนำมาตัดต่อโปรโมทเลยประหยัดและเร็วกว่ามากๆครับ ถ้าหากไปซื้อรูปภาพออนไลน์ก็ตกภาพละประมาณ 5-10 บาท หากไปซื้อวีดีโอ footage ประกอบคลิป ก็ตกไม่กี่พันบาท แล้วถ้าซื้อแบบเป็นชุดหรือซื้อแบบดาวน์โหลดแบบบุฟเฟต์ก็จะทำให้ถูกมากขึ้น ซึ่งประหยัดมากกว่าที่เราจะจ้างการทำคอนเทนต์ ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำครับ และแนวโน้มสำหรับบริษัท SME ย่อยๆ ณ ปัจจุบันก็เริ่มหันมาทำวิธีนี้แล้ว โดยการจ้างเด็กจบใหม่เงินเดือนหมื่นกว่าบาทมานั่งทำการตกแต่งตัดต่อรูปภาพและวีดีโอ โดยทำการซื้อรูปภาพ วีดีโอผ่านเว็บไซต์การขายรูปออนไลน์
ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่จะสามารถขายรูปภาพ วีดีโอผ่านช่องทางออนไลน์ครับ
ประเภทรูปภาพที่จะนำมาขาย
- ภาพวีดีโอ หรืออาจจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า footage คือภาพวีดีโอที่ถ่ายบันทึกแบบดิบๆ ไม่มีการตัดต่อ ไม่มีการตัดแต่ง อะไรทั้งสิ้น เพื่อให้ลูกค้าเข้ามาซื้อและสามารถนำไปต่อเรื่องราวของตัวเองได้ ซึ่งแน่นอนว่าวีดีโอนั้นจะต้องมีเรื่องราว มีความหมายแฝงในตัวเอง และมีความคมชัดด้วย
- ภาพถ่าย ภาพนิ่งจากกล้องถ่ายรูปที่ถ่ายออกมา อาจจะเป็นรูปภาพสิ่งของต่างๆ ธรรมชาติ สิ่งก่อสร้าง วิว ทิวทัศน์ บุคคล โดยภาพจะต้องมีความคมชัดสูง สามารถอธิบายความหมายในแต่ละรูปภาพ มีวัตถุประสงค์ของภาพชัดเจน พูดง่ายๆคือเมื่อเราถ่ายรูปออกมาต้องรู้ก่อนแล้วว่าลูกค้าจะซื้อรูปภาพนี้ไปทำอะไร เพื่ออะไร นอกจากนี้ภาพที่ถ่ายจะต้องถูกต้องตามกฎเว็บไซต์ Micro Stock ที่จะนำไป Stock ไว้ขายด้วย
- ภาพเวกเตอร์ เป็นไฟล์ภาพชนิดหนึ่งที่เกิดจาก Graphic Design คุณสมบัติของภาพนี้ก็คือเมื่อทำการขยายรูปภาพ ภาพจะไม่แตก ซึ่งต่างจากไฟล์ Bitmap เมื่อทำการขยายแล้วจะเห็นภาพแตกออก หรือเห็นเป็นจุดพิกเซลสี่เหลี่ยมเล็กๆชัดเจน ดังนั้นภาพเวกเตอร์นี้จึงเหมาะกับนำไปใช้ในสื่อสิ่งพิมพ์ เช่น โลโก้ต่างๆ ภาพการ์ตูน ภาพไอคอน และสามารถนำไปขายได้ในเว็บไซต์ Micro Stock เช่นกัน
เทคนิคขายรูปออนไลน์
1.อุปกรณ์พื้นฐานต่างๆ
- กล้องถ่ายรูป ถ้าหากจะมาสายนี้จริงจัง ผมแนะนำว่าโดยพื้นฐานแล้วควรจะเป็นกล้องระดับ DSLR นะครับ เพราะนอกจาก ประสิทธิภาพจะเหนือกว่าคนอื่น ยังช่วยทำให้มีโอกาสขายภาพได้มากกว่าคนอื่นด้วย และต้องมีขาตั้งกล้องด้วยเพราะช่วยลดการสั่น ทำให้ภาพมีคุณภาพสูงขึ้น
- คอมพิวเตอร์ โปรแกรมแต่งภาพ,วีดีโอ Hard Disk สำหรับคนที่ต้องการจะเข้าวงการนี้เหมือนกันครับคอมพิวเตอร์ก็ต้องมีสเปคที่ค่อนข้างสูงในระดับหนึ่งแล้วพร้อมลงโปรแกรมแต่งภาพและวิดีโอ ซึ่งมีหลากหลายโปรแกรมนะครับ ลองไปศึกษากันดูได้ รวมถึงควรจะมีฮาร์ดดิสก์ไว้ Backup อย่างน้อย 2 อันเพื่อเก็บข้อมูลทั้งหมดไว้เผื่อเสียนะครับ
2.การถ่ายภาพพื้นฐาน
- ภาพต้องคมชัด เมื่ออุปกรณ์พื้นฐานเราโอเคแล้วนะครับ ทั้งกล้องและขาตั้งกล้อง รวมถึงการปรับโหมดให้เป็น Auto Focus (อันนี้แล้วแต่เทคนิคแต่ละคนนะครับ) จะทำให้ภาพที่ได้ออกมานั้นค่อนข้างชัด และเมื่อมีการส่งเข้าไปในระดับหนึ่งก็ยังชัดอยู่ แบบนี้ถือว่าโอเคครับ นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบอื่นๆเช่นแสงต้องไม่เพี้ยน ต้องดูเป็นธรรมชาติ ซึ่งอาจใช้โปรแกรมเข้ามาช่วยได้ในระดับหนึ่ง
- ภาพต้องมีความหมาย การถ่ายภาพแบบ snapshot (ภาพที่ถ่ายอย่างรวดเร็ว) นั้นไม่ค่อยเหมาะกับการขายรูปออนไลน์นะครับเพราะการถ่ายแบบนี้จะดูเหมือนการถ่ายแบบขอไปที ซึ่งในการถ่ายรูปแต่ละครั้งจะต้องมีความหมายข้างใน คุณสามารถไปดูในเว็บไซต์ที่ขายได้เลยครับแล้วลองดูว่ารูปที่ดาวน์โหลดมากๆ นั้นมีลักษณะที่แฝงความหมายข้างในว่าอย่างไร
- องค์ประกอบรูปภาพต้องพอดี การจัดองค์ประกอบของภาพนั้นมีทฤษฎีต่างๆมากมายเช่น จุดตัด 9 ช่อง กฎสามส่วน เส้นทแยงมุม คุณสามารถไปหาอ่านเพิ่มเติมได้ในรายละเอียดนะครับ โดยที่ต้องทำแบบนี้เพราะว่าลูกค้าที่มาซื้อนั้นก็ต้องการรูปภาพที่มีช่องว่าง ไปใส่ข้อความ ตัวอักษร โลโก้เพิ่มเติม เพื่อนำไปใช้โปรโมทต่อนั่นเอง
- ห้ามถ่ายภาพติดเครื่องหมายการค้าใดๆ ถ้าหากมีการถ่ายภาพติดแบรนด์ใดๆ ทางเว็บ Micro Stock จะไม่รับการพิจารณาเพราะถือว่าเป็นการโฆษณานะครับดังนั้นให้พยายามตรวจสอบก่อนส่งรูปด้วย รวมถึงถ้าบางครั้งมีการถ่ายติดภาพบุคคลอื่นแบบชัดๆ แต่ไม่ได้รับเอกสารการยินยอมแบบนี้ก็ไม่ได้นะครับ
3.ช่องทางในการขายรูปภาพหรือวีดีโอออนไลน์
มีช่องทางการขายภาพเยอะมากมายนะครับมากกว่า 10 เว็บไซต์ ซึ่งต้องบอกว่าการนำรูปหรือผลงานของเราเนี่ยไปใส่เว็บไซต์ถือว่าเป็นศาสตร์และศิลป์นะครับ เพราะแน่นอนครับถ้าคุณนำรูปภาพไปใส่ไว้ในทุกๆช่องทางก็มีโอกาสที่จะเข้าถึงลูกค้าได้มากแต่ก็จะมีเวลาในการปั้นพอร์ตหรือผลงานได้น้อยลง ในทางกลับกันถ้าคุณฝากพอร์ตไว้ที่เดียวถ้าเว็บไซต์นั้นลดค่าคอมลงมามันก็จะมีผลกระทบกับ Passive Income ของคุณค่อนข้างหนักนะครับ เพราะฉะนั้นผมอยากจะแนะนำให้ฝากพอร์ตไว้อย่างน้อย 3 ที่ และอีกประเด็นหนึ่งก็คือรูปภาพบางรูปจะขายดีในเว็บไซต์หนึ่งแต่ไม่ได้หมายความว่าจะขายดีได้ในเว็บไซต์หนึ่งนะครับ แต่อย่างไรก็ตามถ้าผลงานของเราออกมาค่อนข้างดีก็มีโอกาสที่จะขายได้ในเว็บไซต์ต่างๆได้มากขึ้น ผมจะยกตัวอย่างมาประมาณ 3 เว็บไซต์หลักๆพื้นฐานที่ควรนำไปฝากไว้นะครับ
ส่วนเรื่องขั้นตอนการสมัครสามารถไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในแต่ละเว็บไซต์นะครับ
8.ขายสินค้าแบบ Drop shipping
Drop shipping หรือคนทั่วไปเรียกว่า Dropship นั้นคือ การขายสินค้าโดยที่ร้านค้า โดยที่เราไม่ต้องมีสินค้าเป็นของตัวเอง เรียกง่ายๆว่าเป็นตัวแทนจำหน่ายนั้นเอง ยกตัวอย่างเช่น สำหรับพ่อค้าแม่ค้าหนังออนไลน์ที่ทำงานเกี่ยวกับ Dropship ก็คือการนำข้อมูลรายละเอียดสินค้า รูปภาพสินค้า มาทำการโปรโมทผ่านสื่อออนไลน์อาจจะเป็นเว็บไซต์ สื่อโซเชียล เช่น Facebook LINE OA IG Twitter หรืออาจเป็นผ่านแพลตฟอร์มอื่นๆเช่น shopee Lazada ก็ได้ แล้วก็จะมีการบวกราคาเพิ่มจากราคาปกติ โดยที่ไม่ต้องสต๊อกของรับความเสี่ยงอะไรเลย และเมื่อมีลูกค้าเข้ามาซื้อเราถึงไปสั่งของจากโรงงานการผลิตแล้วให้โรงงานการผลิตส่งสินค้าหาลูกค้าโดยตรง
เล่าให้เห็นภาพเพิ่มเติมนะครับ เมื่อเรามาถึงจุดนี้หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าแล้วจะมีคนมาซื้อหรอ เพราะการสั่งของแบบ Drop shipping นี้ดูแล้วมันจะแพงกว่าการไปซื้อนะหน้าร้านถูกไหมครับ อย่างเช่นผมต้องการทานผลไม้ทางภาคใต้สักอย่างหนึ่ง แต่บ้านตัวผมเองนั้นอยู่ภาคเหนือ ถ้าหากผมต้องขับรถลงไปเพื่อทานผลไม้ภาคใต้ก็คงไม่คุ้มทุนและเสียเวลาอีกแล้วถูกไหมครับ แต่ถ้าหากผมสามารถสั่งของทางออนไลน์ถึงแม้จะมีราคาที่แพงกว่าปกติก็ทำให้ผมอยากจะสั่งมาลองดู
อีกตัวอย่างหนึ่งเช่น บ้านผมอยู่ในจังหวัดหนึ่ง และผมรู้ว่าที่บ้านเกิดของผมนั้นมีสินค้า OTOP สบู่สมุนไพร ที่ดีมากๆ และผมก็รู้ด้วยว่ามีกลุ่มลูกค้าที่มาซื้อสินค้านี้เลยประจำ แต่ประเด็นก็คือมันยังไม่มีขายในออนไลน์ เราก็สามารถนำสินค้าตัวนี้ครับมาทำการตลาดผ่านออนไลน์โดยใช้วิธีการ Dropship ได้
เริ่มมองเห็นภาพใช่ไหมครับ ว่าถึงแม้ว่าจะขายแพงหน่อยแต่ถ้ามันสะดวกกับผู้บริโภคหรือลูกค้าก็พร้อมจะจ่าย จึงสามารถทำให้ขายได้ครับ สินค้าไหนก็ตามที่ดีแต่ยังไม่มีการทำการตลาดบนโลกออนไลน์สินค้านั้นก็ถือว่ามีโอกาสในการทำ Dropship ครับ ไม่ต้องบอกว่าการทำดอกชิปนี้ก็ถือว่าเป็น Passive Income สำหรับมนุษย์เงินเดือนอีกทางหนึ่งได้เช่นกันครับ ถ้าหากเราสามารถสร้างระบบให้มันไปได้แบบออโต้ แต่ก็ต้องมีการมาดูแลระบบอย่างต่อเนื่องนะครับ
ข้อดีของการทำ Dropship
- เริ่มต้นได้ง่ายมากๆ เนื่องจากว่าคุณไม่ต้องรับความเสี่ยงเลยเมื่อขายไม่ได้อย่างมากก็แค่เสียเวลาถูกไหมครับ เพราะเราสามารถตัดความเสี่ยงในเรื่องของ หน้าร้าน, โกดังเก็บของ, การแพ็คของส่งหาลูกค้า, การนับสต๊อกคงเหลือ, การจัดการสินค้าที่ถูกตีกลับ
- ใช้เงินลงทุนน้อยมาก เนื่องจากว่าไม่ต้องมีการสต๊อกสินค้า ไม่ต้องมีหน้าร้าน มีแค่เครื่องคอมพิวเตอร์และมือถือเพียงเครื่องเดียวก็สามารถทำได้แล้ว
- สามารถทำงานที่ไหนก็ได้ เนื่องจากการทำ dropship นั้นเป็นการใช้ออนไลน์และโทรศัพท์มือถือ เข้ามาเกี่ยวข้องกับงานขาย คุณจึงสามารถทำงานที่ไหนก็ได้
- มีสินค้าให้เลือกหลากหลายอย่างและสามารถขยายธุรกิจได้ง่าย คุณสามารถเลือกสินค้าอะไรก็ได้ที่ยังไม่ได้มีการโปรโมทผ่านออนไลน์ ดังนั้นจึงมีตัวเลือกของสินค้าค่อนข้างเยอะ และสามารถขยายธุรกิจได้ง่ายเพราะว่าลองนึกภาพหากคุณมีลูกค้าที่สั่งของเข้ามาเยอะขึ้น การจัดการออเดอร์ก็จะตกไปอยู่ที่ทางโรงงาน ทำให้คุณมีภาระน้อย สามารถขยายธุรกิจได้ง่ายขึ้นด้วย
ข้อเสียของการทำ Dropship
- กำไรต่อชิ้นค่อนข้างน้อย เนื่องจากธุรกิจนี้ใครๆก็สามารถเข้ามาทำได้ซึ่งทำให้มีคู่แข่งค่อนข้างเยอะเหมือนกัน ดังนั้นถ้าหากผู้ขายที่มีจำนวนเยอะ คนที่ขายได้จำนวนมากก็พร้อมที่จะกดราคาลงมาต่ำเพื่อให้ได้ปริมาณการขายเยอะขึ้น
- ไม่รู้สต๊อกของที่แท้จริง เนื่องจากตัวเรานั้นเป็นสื่อกลางระหว่างโรงงานกับลูกค้า จึงทำให้บางทีเราจะไม่รู้สต๊อกของจากโรงงานที่แท้จริงต้องมีการอัพเดทอยู่ตลอดเวลากับทางโรงงานแล้วถึงจะมาเปลี่ยนสินค้าในหน้าเว็บไซต์ของเรา
- ปัญหาจากต้นทางของสินค้า ถ้าหากสินค้าที่มาจากทางโรงงานนั้นมีปัญหาอาจจะเป็นด้านคุณภาพแล้วส่งตรงหาลูกค้าเลย ร้านของเราที่เป็นนายหน้าจะต้องน้อมรับคำผิดพลาดตรงนี้ และสำหรับในการรีวิวร้านของเราเช่นใน Lazada หรือ shopee ร้านของเราก็อาจจะโดนรีวิวไม่ดีจนทำให้ต้องปิดร้านกันไปเลยทีเดียวก็มี
- การจัดส่งที่ยุ่งยาก บางครั้งถ้าลูกค้าสั่งสินค้าจากร้านเรา 2 ชิ้น แต่ 2 ชิ้นนี้มาจากคนละโรงงานกัน จะทำให้การคิดค่าส่งนั้นต้องแยก วิธีการแก้ปัญหาแบบนี้ก็คือตั้งราคาสินค้ารวมค่าส่งมาตรฐานไปเลย ซึ่งเป็นราคาที่ครอบคลุมทุกขนาดสินค้า และน้ำหนักสินค้าด้วย
เทคนิคเพิ่มเติมสำหรับการทำเป็น Dropship
เนื่องจากบทความนี้เป็นบทความที่เกี่ยวกับ Passive Income นะครับ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเลือกสินค้าที่สามารถทำครั้งเดียวและเป็นระบบทำเงินได้อย่างต่อเนื่องนั่นเอง
- เลือกสินค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อย ถึงแม้จะมีการลงทุนที่ไม่มากก็ตาม แต่ถ้าหากสินค้าที่ขายอยู่นั้นมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างรวดเร็ว หรือเป็นสินค้าแฟชั่น ก็จะไม่ค่อยคุ้มค่ากับการลงเวลาลงไปนะครับเพราะต้องเปลี่ยนหน้าร้านบนออนไลน์อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นพยายามเลือกสินค้าที่สามารถต้องซื้อซ้ำได้ หรืออาจเป็นสินค้าเพื่อธุรกิจที่ต้องใช้ในระยะยาว
- ศึกษาตลาดให้เข้าใจ ก่อนที่เราจะเริ่มทำกับ Dropship นั้นเราต้องเข้าใจตลาดก่อน ว่าสินค้าที่เราจะนำมาขายนั้น ส่วนใหญ่ขายกันที่ไหน ใช้แพลตฟอร์มอะไรในการขาย เข้าไปดูถึงคู่แข่งที่ขายสินค้านี้ เขาขายด้วยสื่อออนไลน์อะไรบ้าง ลูกค้าที่เข้ามาคอมเม้นเยอะไหม พูดถึงสินค้าในแง่ดีไหม ชื่นชมร้านของคู่แข่งไหม จากนั้นก็นำมาวิเคราะห์ว่าเราควรจะลงไปอยู่ในตลาดสินค้าชิ้นนี้หรือไม่ ราคาตลาดของสินค้านี้อยู่ที่เท่าไหร่ กำไรต่อหน่วยโอเคไหม ถ้าคิดว่าโอเคก็ลุยเลยครับ
- การทำการตลาด ให้พยายามวางแผนตั้งแต่ก่อนขายสินค้านะครับว่าควรจะจะทำตลาดอย่างไร เช่นทำ seo ทางเว็บไซต์ ทำ YouTube แล้วฝังลิงค์เข้าไปเพื่อเข้าไปขายเป็น Drop Ship ให้พยายามวางโครงสร้างทั้งหมดก่อนที่จะนำสินค้ามาขายนะครับ
9.ขายสติ๊กเกอร์ Line
สำหรับคนที่ชอบการวาดรูปเป็นชีวิตจิตใจ การขายสติ๊กเกอร์ผ่านทาง Application LINE ก็สามารถสร้างรายได้แบบ Passive Income ได้เหมือนกัน ซึ่งขั้นตอนการขาย สติ๊กเกอร์ LINE ผ่านช่องทาง LINE นั้นไม่ยากครับ
เทคนิคสำหรับการออกแบบสติ๊กเกอร์ไลน์ให้ปัง
- เครื่องมือและโปรแกรมสำหรับออกแบบสติ๊กเกอร์ แล้วแต่ถนัดเลยนะครับอาจจะใช้เป็น iPad ,มือถือ หรือในคอมก็ได้ และสำหรับโปรแกรมที่คนส่วนใหญ่ใช้วาดรูปก็คือ Procreate, Photoshop ,Illustrator ,LINE Studio (ถ้าส่งสติ๊กเกอร์ไลน์ผ่านการออกแบบผ่านทาง LINE Studio เราจะไม่ได้ส่วนแบ่งรายได้จากทาง LINE นะครับ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะส่งไปเทคนิคง่ายๆคือให้เซฟรูปภาพจากทาง LINE Studio มาก่อนแล้วค่อยส่งไปที่ LINE creator Market)
- รูป สติ๊กเกอร์ คอนเทนต์ควรเป็นรูปที่สามารถใช้ได้บ่อยในทุกๆวัน ลองคิดดูนะครับเวลาที่เราส่งสติ๊กเกอร์ที่ใช้บ่อยๆก็คือสวัสดี หิวข้าว บอกรัก แบบนี้ใช่ไหมครับ พูดง่ายๆคือควรจะเป็นรูปที่ใช้สนทนาในชีวิตประจำวัน
- ไม่จำเป็นต้องวาดรูปสวยก็ขายได้ สติ๊กเกอร์บางรูปนั้น ไม่ได้สวยเลยแต่มีความหมายที่โดนใจคนใช้งานมากก็สามารถทำให้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าได้
- ทำผลงานส่งให้ต่อเนื่องและอยู่ตลาดให้นาน ถ้าหากคุณคิดว่าจะทำสติ๊กเกอร์ไลน์ออกมาเพียงแค่ชุดเดียวแล้วสามารถเป็นเสือนอนกิน Passive Income ไปตลอดนั้น นั้นคิดผิดครับ เพราะเนื่องจากว่าณปัจจุบันมี Line Creator เพิ่มขึ้นแบบรวดเร็วเนื่องจากสามารถทำได้ค่อนข้างง่าย ทำให้มีคู่แข่งมือใหม่สมัครเล่นเพิ่มขึ้นมาอยู่ตลอด แต่ความต่างคือระดับมืออาชีพนั้นเขาจะทำผลงานอยู่ตลอดและอยู่ในตลาดให้นานที่สุดอันนี้คือความต่างครับ ดังนั้นหากคุณก้าวเข้าสู่เส้นทางนี้แล้วก็ต้องไปให้สุดครับ
ขั้นตอนง่ายๆการส่งผลงานสู่ Line
- ขั้นตอนที่ 1 : เข้าเว็บไซต์ https://creator.line.me/th/
- ข้นตอนที่ 2 : ลงทะเบียนไลน์ กรอกประวัติให้ครบ รออีเมลล์ยืนยัน
- ชั้นตอนที่ 3 : ลงทะเบียนสร้างสติ๊กเกอร์ไลน์ได้เลย
รายได้จากทางสติ๊กเกอร์ไลน์
สำหรับรายได้ของทาง LINE นั้นจะใช้หน่วยเป็นเยนครับ (JPY) ซึ่งเรทนี้ทางไลน์จะเป็นคนกำหนดเอง ในปัจจุบัน คนที่ซื้อสติ๊กเกอร์ไลน์ 1 ครั้ง เราก็จะได้รับเงินทั้งหมด 31 เยน (ประมาณ 9 บาท) แล้วจะถอนออกมาได้เมื่อครบ 1000 เยน ซึ่งสามารถไปดูวิธีการถอนได้จากข้อมูลทาง LINE โดยตรงเลยนะครับ
10.ขายคอร์สออนไลน์
สำหรับคนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในด้านใดด้านหนึ่ง และเป็นคนที่ชอบสอน หรือให้ความรู้คนอื่น ก็สามารถสร้าง Passive Income ผ่านการขายคอร์สออนไลน์ได้ แต่ต้องบอกว่าในยุคนี้ก็สามารถทำวีดีโอได้ง่ายมากครับ เพียงแค่ มีคอมพิวเตอร์ดีๆ สักเครื่องที่มีกล้องหน้าจออัดวีดีโอ ซื้อไมโครโฟนราคาไม่แพงซักอัน ลงโปรแกรมตัดต่อวีดีโอก็สามารถทำคอร์สขายได้แล้ว
เทคนิคในการขายคอร์สออนไลน์
1.ใช้ช่องทางออนไลน์ต่างๆในการเผยแพร่ สร้างตัวตนเพื่อสร้างฐานลูกค้า
จริงๆต้องบอกว่าการขายคอร์สออนไลน์ เปรียบเสมือนเป็นการแตกไลน์ธุรกิจจากการทำ E-Book (สามารถเลื่อนกลับไปอ่านความรู้ข้อที่ 6 ได้ครับ) นะครับ ก็คือเปลี่ยนจากการขายบทความให้ความรู้เป็นการขายวีดีโอให้ความรู้แทน ซึ่งอาจจะสามารถสอนสดหรืออัดวีดีโอไว้แล้วให้คนเข้ามาเรียนก็ได้
แต่การที่จะให้ลูกค้าเข้ามาเรียนกับคอร์สของคุณนั้น คุณควรจะมี คลังให้ความรู้ เป็นพื้นฐานของคุณก่อนไม่ว่าจะเป็นรูปแบบบทความความรู้บนเว็บไซต์ Facebook YouTube คุณต้องพยายามค่อยๆทำให้ความรู้ในส่วนนี้ในระดับหนึ่งจนคนอื่นเชื่อถือและมองว่าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญในสิ่งนั้นๆ เมื่อถึงจุดๆหนึ่งถ้า คนที่มาติดตามคุณรู้สึกว่าคุณสามารถสอนเขาให้ถึงวิธีการแก้ปัญหาได้ เขาก็จะมาซื้อคอร์สเรียนจากคุณครับ
2.ช่องทางการสอน
- สอนออนไลน์ผ่าน Social Media คนส่วนใหญ่ที่ทำกันอยู่ปัจจุบันบ่อยๆคือ จะใช้ Facebook ครับ เพราะค่อนข้างง่ายและฟรี ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเปิดสมัครคอร์สเรียนจนจำนวนคนเรียนครบตามที่คุณกำหนดไว้แล้ว เช่น 20 คน คน โดยระหว่างทางก็เปิด Facebook Group ลับ ขึ้นมาอันนึง แล้วก็เชิญคนที่สมัครคอร์สเรียนของคุณแล้วเข้ามาในกรุ๊ปนี้โดยที่คุณไม่ต้องลงทุนสร้าง Platform อะไรเลย จากนั้นคุณก็ทำการสอนและแชร์เนื้อหาที่ต้องการจะสอนลงไปในกรุ๊ปนี้ครับ แต่ก็ต้องบอกครับว่า การใช้ Facebook ก็ถือว่าเป็นการยืมจมูกคนอื่นหายใจนะครับ เพราะบางทีวันดีคืนดีก็อาจจะมีการปิดเพจของคุณถ้ามีการทำผิดกฎเพราะฉะนั้นสินทรัพย์ตรงนี้ก็อาจจะหายไปได้
- สอนผ่านโปรแกรม Zoom แพลตฟอร์มยอดนิยมที่โด่งดังมาในช่วงโควิด ทุกคนคงจะรู้จักนะครับซึ่งก็สามารถอัพเกรดได้ถ้าหากคุณสอนเป็นประจำและที่สำคัญคือสามารถอัดเป็นคลิปวีดีโอไว้ไปโปรโมทต่อก็ได้ครับ
- ฝากวีดีโอออนไลน์คอร์สผ่านแพลทฟอร์มเว็บไซต์ต่างๆ มีหลายเว็บไซต์นะครับที่เราสามารถไปฝากวีดีโอการสอนของเราได้ เช่น
ซึ่ง การขายคอร์สออนไลน์ในแพลตฟอร์มเหล่านี้จะต้องแบ่งรายได้กันโดยส่วนใหญ่แล้วจะคนละครึ่ง 50/50 และเมื่อปล่อยไหลขายไปตามธรรมชาตินั้นก็จะมีเงินเข้าเราแบบ Passive Income อย่างต่อเนื่องนั่นเอง
แนะนำบทความอื่นที่น่าสนใจ
[สรุป+ไอเดีย]การเงินของพ่อรวยสอนลูก