เศรษฐกิจไทยมีแต่แย่ลง หลายคนอาจมีคำถามว่าแล้วเราจะผ่านช่วงแย่นี้ไปได้อย่างไร
ส่วนตัวผมคิดว่า ในช่วงที่หลายคนบ่นว่าเศรษฐกิจแย่ ในความแย่นั้นมันก็มีมุมดีซ่อนอยู่ เช่นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เราจะเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตัวเองได้ง่ายกว่า เนื่องจากการเงินเริ่มฝืด จะทำอะไรตามใจคงยากขึ้น และก็ไม่ต้องกลัวเพื่อนจะโกรธด้วยเพราะคงหืดขึ้นคอเหมือนกัน
ตัวผมเองก็เคยเจอ Hard Time มาหลายครั้งแล้วและก็ใช้วิธีที่กำลังจะบอกเหล่านี้ ช่วยพาให้ก้าวผ่านช่วงเวลาน้นมาได้ หลายสิ่งยากมากที่ต้องปรับตัว แต่เราก็ต้องฝืน เพราะไม่งั้นมันจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง แม้มันจะขัดความรู้สึกบ้างก็ต้องทนได้ ถือว่าเป็นบทเรียนและสีสันของชีวิต
1.เปลี่ยน Lifestyle ออกข้างนอกให้น้อย อยู่บ้านให้มาก สิ่งแรกที่ต้อทำเมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ช่วยถดถอย คือเราต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตก่อน เริ่มต้นจากการควบคุมค่าใช้จ่ายให้ได้ ลดการใช้จ่ายในสิ่งไม่จำเป็นและพยายามเอาตัวออกห่างจากปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้เราต้องจำใจจ่ายด้วย
วิธีการที่่ง่ายที่สุดสำหรับการแก้ปัญหาทั้งหมดที่ว่ามานี้คือ “อยู่บ้านให้มากขึ้น”
เราอาจไม่ได้สังเกตว่า ค่าอาหารนอกบ้านต่อจานจะแพงกว่าการทำเองในบ้านประมาณ 2-3 เท่า นี่ยังไม่นับค่าเดินทาง ค่าใช้จ่ายนั่นนี่จิปาถะอีกด้วยนะ
การอยู่บ้าน กินข้าวที่บ้าน นอกจากประหยัดเวลาแล้ว เรายังมีเวลาเพิ่มมากขึ้นให้ตัวเองเอาไปทำอะไรได้อีกตั้งเยอะ (ดูข้อต่อๆไปแล้วจะเข้าใจ)
ช่วงที่ผมลำบาก ผมก็อยู่บ้าน ฝากท้องกับตู้กับ้าวบ้านแม่เยอะนะ สบายดี อร่อยด้วย และก็ไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตขาดอะไรไปเลย
แม้กระทั่ง “สังคม”… สิ่งที่หลายคนเสียดายมาก พูดได้อย่างมั่นใจเลยว่า การไม่ไปเจอใครพักใหญ่ ทำให้ได้เจอ ค้นพบและเป็นตัวเองมาถึงทุกวันนี้
2.ตัดคนไม่สำคัญ กิจกรรมไม่จำเป็นออกไปจากชีวิตต่อจากข้อแรก แม้เราจะอยู่บ้านได้มากขึ้น แต่เราอาจจะยังจำเป็นต้องออกไปเจอคนมากมายอย่ดีตามที่ถูกนัดมา โดยเฉพาะเรื่องงาน สิ่งนี้แหละครับ ที่เราหลายคนไม่ทันนึกว่า มันมีค่าใช้จ่ายซ่อนอยู่มากมาย แถมยังเป็นค่าใช้จ่ายที่เยอะเสียด้วย
นัดคุยงานทีไร ก็ต้องนัดร้านกาแฟ
นัดผู้ใหญ่ ก็ต้องร้าน Starbuck, Au Bon Pain หรือสักร้านตามศูนย์การค้าหรือออฟฟิศ
นัดเพื่อนหรือว่าที่ลูกค้า (มโนเอง) ก็อาจจะเป็นร้านทั่วไปได้
นับเอาเข้าจริงๆ อาจจะตกใจเมื่อพบว่า อัตราการเปลี่ยนจากนัดที่คุยงาน คิดโปรเจกต์ทั้งหลายแหล่สุดท้ายได้ไม่ถึง 5 งานจาก 100 นัด
ใครกำลังมีนัดรัวๆ แบบนี้ให้ระวัง เงินทุนจะหายไปหมดกับค่ากาแฟ
นี่ยังไม่นับการนัดเจอเพื่อนเพื่อ Update ชีวิตเรื่อยเปื่อยอีกนะ เพราะนัดลักษณะนี้จะแพงกว่านัดคุยงานอีก
สุดท้าย เราต้องกลับมาคิด วิเคราะห์ แยะแยะ ให้ได้ว่าใครคือคนสำคัญ และใครคือตัวจริงพวกมานัดเล่นๆ คุยเพื่อขอเช็กไอเดีย ตัดออกจากชีวิตไปเลย เสียเวลา และไม่ต้องเสียดายด้วย
เวลาใครโทรมานัด ให้ค้นประวัติเลยว่า เคยนัดเราไว้กี่ครั้ง แล้วมีอะไรที่คุยแล้วเกิดขึ้นจริงบ้่าง
ถ้าคุยเยอะ งานเกิดขึ้นจริงน้อย คนแบบนี้ อย่างมากก็ใช้โทรคุยพอ ไม่ต้องเดินทาง
ถ้ามีรายละเอียดเยอะ ส่งไฟส์มาแล้วใช้เทคโนโลยีช่วย ต่างคนต่างประหยัดเวลาเดินทาง งานก็ได้ เงินก็ไม่เสีย ไม่ได้ให้เลิกคบ แต่ต้องฉลาดในการทำงานร่วมกัน เรื่องแค่นี้ยังไม่ฉลาด แล้วจะทำงานใหญรอดหรือ?
แต่ถ้าใครเรื่องเยอะ บอกไม่เจอกันตัวเป็นๆ จะไม่คุย คนแบบนี้ ยิ่งตัดออกจากชีวิตได้เลย แค่เรื่องนัดยังเยอะเบอร์นี้ ต่อไปจะทำงานร่วมกันยังไงไหว
รวมๆ แล้วหากเราจัดการนัดได้ดีขึ้น เดือนนึงประหยัดได้เงิน 2,000 บาท สบายๆ
3.จัดบ้าน ขายของที่ไม่ใช้ออกไปบ้าง
สิ่งต่อไปที่ต้องทำ เมื่อมีเวลาอยู่บ้าน คือจัดบ้าน โละของไม่ใช้แล้วออกมาขาย ไปซื้อหนังสือจัดบ้านครั้งเดียวของ มาริเอะ คนโด มาอ่านแล้วทำตาม จากนั้นเรากลายเป็นคนประหยัดได้เองอย่างไม่น่าเชื่อ
ตอนนั้นผมก็ขายของส่วนตัวไปหลายอย่าง ได้เงินมาพอถูๆไถๆ เอาตัวรอดมาได้ สิ่งที่ขายไปก็กีตาร์ กระเป๋าหนังสืออ่านแล้ว ของที่ระลึกจากงานคอนเสิร์ตบ้าง หรืออะไรที่เราไม่คิดว่ามันจะมีค่า แต่มันก็มีคนอยากซื้อนะจำได้ว่าตอนนั้นขายผ่าน eBay
ถามว่าจำเป็นต้องขายไหม เหตุผลส่วนนึงก็จำเป็นแต่อีกเหตุผลนึงคือ…
4.เริ่มศึกษาการลงทุนและช่องทางสร้างรายได้เสริม เอาเงินที่ได้จากการขายของ ไปหาทางทำให้เป็นเงินเพิ่ม เพราะช่วงนั้นมี LTF อันนึครบปีขายพอดีแล ขายได้กำไรมากอยู่ เลยทำให้เริ่มฉลาดว่า
ทรัพย์สินที่ไม่ได้ใช้และถูกปล่อยให้อยู่เฉยๆ มันจะไม่มีค่าอะไรนอกจากวางไว้เกะกะอยู่ในบ้าน
เอาไปขายเปลี่ยนเป็นเงิน แล้วเอาเงินนั้นไปลงทุนให้มันได้กำไรกลับมาจะดีกว่าไหม กำไรที่ได้อาจมากพอให้เราไปซื้อทรัพย์สินอย่างอื่นที่อาจอยากได้ในอนาคตพอดีก็ได้
ตัวเองเลยเริ่มศึกษาเรื่องการจัดการเงินและการลงทุนส่วนบุคคลอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกหลังจากนั้นก็ลงทุนมาตลอด ในปริมาณเงินลงทุนที่ผ่านการจัดสรรไว้แล้ว ไม่ได้ลงทุนอย่างไร้สติ
นอกจากศึกษาเรื่องลงทุนแล้ว อีกเรื่องที่ต้องทำคือหาช่องทางให้มีรายได้เสริม
หลักการคือ ถ้ายังไม่มีรายได้หลักสักทาง ก็ให้หารายได้เสริมหลายๆทางมาชดเชย เงินเสริมหลายทางรวมกันก็มากพอกับเงินหลัก
ยิ่งนาทีนี้ หางานยาก ค้าขายแบบจริงจังก็ยากขึ้นไปอีก เพราะเศรษฐกิจบ้านเราเข้าสู่ยุคคนขายมากกว่าคนซื้อไปแล้ว
หางานเสริมที่ลงทุนน้อย ใช้ความสามารถมากจะได้ผลมากกว่า
งานเสริมที่ลงทุนน้อยที่สุดคืองานที่ออกจากหัวเรา ใช้แรงของเรา
ลองออกหางาน Part time ทำให้ได้เรียนรู้งาน ได้ทั้งเงิน เหมือนมีคนจ้างเราไปเรียนเอาวิชาความรู้ เรื่องแบบนี้ ถ้าไม่ลองทำเองจะไม่มีวันรู้เลยจริงๆ ถ้าทำผลงานได้ดี อาจเปลี่ยนเป็นงานหลักเลยก็ได้
เมื่อรายได้เสริมมันมากพอระดับ เราจะเริ่มขยับขยายตัวได้เอง
สำคัญคือ อย่าคิดว่ามันได้เงินน้อยก็เลยไม่อยากทำ ตัวเลขทุกจำนวน ต้องเริ่มนับจากหลักหน่วย สิบ ร้อย พัน ไปจนถึงหลักล้านเสมอ
5.สะสมความรู้อยู่บ้าน มีเวลาเป็นของตัวเองมากขึ้น คือ ช่วงเวลาดีที่สุดที่จะสะสมความรู้เข้าตัว
หนังสือที่ซื้อมาดอง คอรส์ออนไลน์ที่เรียนค้างไว้ บัดนี้ได้เวลาอันเป็นมงคลแล้วหยิบมาอ่าน กลับไปเรียนให้ครบ
หนังสือทุกเล่ม มีแนวคิดให้เราเอาไปใช้ได้แน่นอน
คอรส์ทุกวิชา จะมีเทคนิคให้เราเอาไปปรับใช้
ถ้าอ่านหมดแล้ว เรียนหมดแล้ว ก็ไปยืมหนังสือที่เพื่อนซื้อมาอ่าน
เขียนรีวิวให้เพื่อนเป็นการตอบแทน ถือว่าได้ประโยชน์ร่วมกันดีกว่าปล่อยหนังสือไว้บนหิ้งเฉยๆ
ยิ่งอ่านมาก ยิ่งได้เห็นตัวอย่างมาก เราจะยิ่งมีไอเดียเอาไปหารายได้เสริม งานเราจะยิ่งแตกต่าง หากงานยิ่งแตกต่าง มันยิ่งมีมูลค่ารายได้ที่เคยเป็นอยู่แค่ระดับรายได้เสริม มันจะมากขึ้นจนกลายเป็นรายได้หลักได้
สำคัญคือต้องอ่านจริง ตกผลึกไอเดียให้ได้ แล้วนำไปทดลองทำจริง และลองทำหลายๆ อย่างพร้อมกันไปด้วย
ทดลองทำจริงในระดับที่เรายิ้มรับได้ถ้ามันพลาด และลองแล้วไม่ต้องกลัวผิด เพราะทำใจไว้เลยว่ามันต้องมีอะไรผิดสักจุดเป็นอย่างน้อย คิดแบบนี้จะได้ไม่ท้อ
6.เริ่มต้นค้นหาศักยภาพของตัวเอง
เราจะรู้จักตัวเองได่ดีที่สุด คือช่วงที่เรามีเวลาอยู่กับตัวเอง เพราะเราว่างที่สุด ไม่มีใครกวนใจ ไม่มีใครมาสั่ง ไม่มีใครบังคับ และเวลาทั้งหมด 24 ชั่วโมง ในแต่ละวันเป็นของเรา จะเอาเวลาไปลองทำอะไรก็ได้ ไม่มีใครห้ามหรอก ยกเว้นเราขี้เกียจและใจไม่สู้เอง
คนเรานะ ยิ่งเวลาไม่มี ศักยภาพที่ซ่อนอยู่มันจะยิ่งปรากฎออกมาให้เห็นเอง เหมือนคำพูดที่ว่า “เพราะความไม่มี ทำใหเรามี”
.
ศักยภาพจะปรากฎออกมาผ่านการทำจริงเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตาม ใช้หัวคิด ใช้ร่างกาย ใช้ความละเอียดอ่อนของฝีมือ ใช้ความใจเย็น ใช้คำพูด สิ่งเหล่านี้คือศักยภาพที่เรามีแตกต่างกันในตัวทุกคนทั้งนั้น เพียงแต่ความสบายไปกดไว้ไม่ให้มันได้ถูกเผยตัวออกมา
7.เปลี่ยนนิสัย เลิกซื้อเพราะของถูก แต่ให้ซื้อเพราะของดี อีกหนึ่งพฤติกรรมที่เราควรเริ่มต้นเปลี่ยนคือการเลือกซื้อของเพราะว่าราคาถูก เพราะคุณจะได้ไม่คุ้มเสีย แต่เราควรเปลี่ยนเหตุผลของการซื้อ เป็นเลือกซื้อเพราะของนั้นคุณภาพดี แม้ว่าราคาสูงกว่าก็ตาม เพราะเราจะใช้มันได้นานกว่า รวมแล้วเราจะเสียเงินน้อยกว่า
สิ่งที่เราจะได้กลับมาอีกอย่างหนึ่งคือ เราได้สนับสนุนผู้ขายที่ดี ให้มีแรงผ่านช่วงยากลำบากนี้ไปด้วยกัน
ถ้าเราไม่สนับสนุนคนขายที่ดี ปล่อยให้ผู้ขายเหล่านี้เจ๊งไปหด ต่อไปเราคงเหลือแต่ของห่วยๆให้ใช้แบบไม่ม่ทางเลือก
และวันนั้น มันจะกลายเป็นว่าเราต้องซื้อของคุณภาพห่วยในราคาแพง เราคงไม่อยากให้เราหมดทางเลือกในการใช้จ่ายแบบนั้นใช่ไหมครับ
8.เที่ยวในประเทศ ลดช็อปปิ้ง กินของไทย ใช้ของไทย หันมากินของไทย ใช้ของไทยให้มากที่สุดเท่าที่เป็นได้
ใครมีแผนไปต่างประเทศก็ไม่ได้ห้ามนะแต่อย่าลืมแบ่งเวลาจัดทริปเที่ยวในประเทศบ้าง
อาหารไทย ขนมไทยเดี๋ยวนี้ไม่เชยแล้ว มีร้านใหม่ๆ เกิดขึ้นมากพอควรที่เอาขนมไทยไปประยุกต์เป็นเมนูใหม่ ช่วยกันสนับสนุน เราจะได้เห็นอะไรใหม่ๆ กับวงการของไทยมากกว่านี้ครับ
9.ทดลองทำสิ่งใหม่
เขียนมาตั้งหลายอย่าง มันจะไม่เกิดผลอะไรเลยนะถ้าเราไม่ลองเอาไปทำ จริงอยู่ที่หลายเรื่องเป็นสิ่งที่เราไม่เคยทำ แต่เพราะพฤติกรรมเดิมๆ เหล่านั้นไม่ใช่หรือ ที่พาเรามาถึงจุดนี้ จุดที่เรากังวลถึงความยากลำบากที่กำลังจะมาเยือน
“What get you here,won’t get you there”
“อะไรที่เราเคยทำ และพาเรามาถึงตรงนี้จะไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไปแล้ว”
พฤติกรรมการใช้ชีวิตก็เช่นกัน อะไรที่เราเคยทำกันมา มันยังพาเรามาถึงจุดที่ลำบากได้ขนาดนี้ ถ้าเรายังทำตัวแบบเดิม คงเดาไม่ยากใช่ไหมครับว่า มันจะพาเราไปไหนต่อ
.
ถ้าอยากจะผ่านช่วงยากให้ได้ เราต้องไม่ทำตัวแบบเดิม ไม่ใช้ชีวิตแบบเดิม
เพราะมันเป็น “ทางเลือกเดียว” ที่เราต้องทำจริงๆ
และจะดีที่สุด ถ้าเราเริ่มต้นที่ทำบางข้อทันทีโดยไม่ต้องให้เศรษฐกิจแย่ไปกว่านี้
เอาใจช่วยทุกคน
ให้ผ่านช่วงยากลำบากนี้ไปด้วยกันครับ
หนังสือ : The Little Book of Business
ผู้แต่ง : ธรรศภาคย์ เลิศเศวตพงศ์